“ผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียว มันจะดีหรอ”
“อันตรายนะ”
“หน้าตาโก๊ะๆแบบนี้ เดี๋ยวก็ถูกหลอก”
คือ ก็ไม่ได้มีใครบอกนะ คิดเองล้วนๆ
เราไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรกค่ะ แล้วนี่ก็เป็นรีวิวครั้งแรกด้วย เราอยากแชร์ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครๆในนี้บ้าง เหมือนที่เราได้รับมาจากที่นี่เช่นกัน :}
เช้ามืดวันเสาร์ที่ 5 เมษายน
ปกติเราเป็นคนนอนดึก และชอบเล่นเนต ดูรูป อ่านเว็บบอร์ด นั่งดูรีวิวไปเรื่อย ไปเจอกับรีวิวนั่งรถไฟข้ามประเทศ ความคิดอยากขึ้นรถไฟก็เลยผุดเข้ามาในหัว อยากไปบ้าง แต่ให้ไปแบบนั้นก็ไม่มีตัง ทำไงได้ เอาใกล้ๆก่อนแล้วกัน แต่นี่มันวันหยุดแล้วนี่ อยากไปแล้วๆๆๆๆ งั้นไปเช้านี้เลย!!! ตัดสินใจอย่างฉุกละหุก ว่าจะต้องไปซักที่ให้ได้ในช่วงวันหยุด weekend นี้ เลยนั่งเก็บข้อมูล ดูรีวิวรถไฟในประเทศไทย สรุปได้ว่า
- เราจะไปสังขละบุรี ด้วยรถไฟฟรี ขึ้นที่สถานีบางกอกน้อย (ธนบุรี) เวลา 7.50 น.
ลงสุดสถานีที่สถานี ”น้ำตก” นั่งยาวๆไปเลย เพราะได้ยินมาว่า ทางรถไฟสายนี้ เป็นสายที่สวยที่สุดในประเทศไทย
- 14.00 ลงสถานีปุ๊ป ต่อสองแถวไปน้ำตกไทรโยค และต่อรถบัสไปสังขละบุรี ถึง 5โมง และเดิน walkin หาที่พัก 2 คืน
- ที่สังขละมีอะไร? เราอยากไปเจอหมู่บ้านมอญ เยือนถิ่นชายแดนไทย-พม่า อยากนั่งรถเล่นเรื่อยเปื่อยดูบรรยากาศระหว่างทาง วิถีชีวิตริมน้ำและภูเขา และ สัมผัสอากาศดีๆยามเช้า ได้ใช้ชีวิตอยู่แบบช้าๆ ชิลๆ
แผนคร่าวๆของเราเป็นแบบนี้แหละ เราเคยวางแผนกับเพื่อนๆ จะนั่งรถไฟไปกาญฯกันแล้วรอบนึง ก็เลยพอมีข้อมูลบ้าง แต่ตอนนั้นปาตี้ก่อนไป เลยตื่นสาย ไม่ทันรถไฟ 10 นาที จึงต้องเปลี่ยนแผน นั่งไปหัวหินแทน
แต่ตอนนี้ ตี 4 นะ ถ้าจะนอน ก็กลัวจะไม่ตื่น เดี๋ยวซ้ำรอยรอบที่แล้ว ไม่เอาๆ อาบน้ำ เก็บกระเป๋า ปริ๊นลายแทง (แผนที่ เบอร์รีสอร์ท เบอร์ศูนย์ท่องเที่ยวกาญฯ เบอร์เพื่อน ตารางเวลารถหมด) เอาทุกอย่างใส่กระดาษพับเข้ากะเป๋า เผื่อโทรสับแบทหมด หรือหาย จะได้ติดต่อคนอื่นได้ และรอเวลา 6 โมงเช้า นั่งแทกซี่ไปสถานีรถไฟ
….
อันนี้เป็นลายแทง การเดินทางครั้งนี้ ยับหมดแล้ว ถ่ายหลังจากกลับมา ที่ยับนี่ไม่ใช่เอามาใช้ดูข้อมูลบ่อยนะ เอามาพัด กับกันแดด – -“ ถือเป็นผู้ช่วยที่สำคัญมาก
ถึงแล้ว สถานีรถไฟธนบุรี
แบกกระเป๋าเป้ polka dot 1 ใบ กับใจ 1 ดวง เตรียมหนังสือไปอ่าน กะชิวๆ (อยากชิก อยากคูล ทนหน่อยน้อง กะเป๋าล้นแล้ว หนักชิบ T_T) เดินเข้าช่องขายตั๋วไปรับตั๋ว ธนบุรี – น้ำตก
ตื่นเต้ลจุง จะได้นั่งรถไฟแแล้ว ^_^ ตื่นเต้นได้ไม่นาน เห้ย ทำไมรถไฟมันยังไม่มาซักที เริ่มหงุดหงิดละ คนก็เยอะ ไม่มีที่นั่งรออีก ขึ้นไปจะได้นั่งมั๊ย บ่นๆ งึมงำๆ คนเดียว การเดินทางกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ตื่นเต้ลลลล
รถไฟมายังไม่ทันจอดสนิท คนก็กรูกันขึ้นไป ไอ่เราก็ยังไม่โปร รอมันหยุด ต่อแถวๆ ได้ขึ้นหลังๆเลย เดินหาที่นั่งอยู่นาน เต็มหมด ต้องมาพิจารณาว่าจะนั่งหันหน้าหาใครดี มีที่นั่งว่างตรงข้ามคุณลุงที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เดินเลยไปหน่อย เป็นที่นั่งว่างตรงข้ามคู่รักกุ๊กกิ๊กมุ้งมิ้งงุงิ
เอ่อ….
นั่งกับลุงแล้วกัน
เพลิดเพลินกับวิวข้างทางได้ไม่นาน อากาศเริ่มร้อน หนังตาเริ่มหนัก เพราะไม่ได้นอนมาเมื่อคืน อาการออก กระทิงแดงหมดฤทธิ์ จึงหยิบกระเป๋าเข้ามากอด แล้วบอกกับตัวเองว่า อย่าเพิ่งนอน อย่าเพิ่งนอน อย่าเพิ่งนอน อย่าเพิ่งนอน อย่าเพิ่งนอน อย่า เพิ่ง นอน อย่า….
อย่า เพิ่ง นอน
อย่า ….. นอน
อย่า…
นอน
zzzZZZ
ลืมตามาประมาณ 11 โมงกว่าๆ รุ้สึกตัวว่ารถไฟจอดนานนะ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง เห้ย นี่มันถึงกาญจนบุรีแล้ว!! ครึ่งค่อนทางแล้ว ประสบการณ์บนทางรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย หายไปกว่าครึ่งทางแล้ว ยังไม่เห็นอะไรเลย o_O!!
สะพานข้ามแม่น้ำแคว
ถ่างตาเอาไว้นะ เรากำลังเดินทางบนทางรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย ท่องไว้ๆ และรถไฟก็เคลื่อนที่ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำแคว ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ เรากลัวการข้ามถนน กลัวการข้ามทางรถไฟมาก เคยมาครั้งที่นี่นึง ต้องวิ่งข้ามสะพานแบบสุดชีวิต กลัวรถไฟชน ทั้งๆที่รถไฟยังไม่มา
คราวนี้ได้เป็นฝ่ายอยู่บนรถไฟบ้าง เจอเด็กยืนมองอยู่ข้างล่าง ฮ่าาาาาา ~ ~ ~
ทางรถไฟสายมรณะ
ทางรถไฟสายนี้เรียกว่า ทางรถไฟสายมรณะ เค้าว่ามาอย่างนั้น (ข้อมูลไม่แน่นค่ะ) เรานั่งฝั่งขวา มีแต่ผนังหิน เลยต้องเดินข้ามมาส่องอีกฝั่งตรงข้อต่อรถไฟ หวาดเสียวสุดๆ แต่ก็ประทับใจกับภาพที่เห็น รางรถไฟเส้นนี้สร้างด้วยไม้ ด้านนึงเป็นหน้าผาหิน อีกด้านเป็นแม่น้ำ ระยะทางไม่กี่ร้อยเมตร แต่รถไฟขับผ่านตรงนี้อย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าให้ชมวิว หรือกลัวสะพานไม้จะพังลงมากันแน่ ระหว่างผ่านทางนี้ มีเสียงเอียดๆออดๆ มาก รู้สึกเหมือนมันไม้จะหักไม่หัก แต่มันสวยนะ คลาสสิกแบบอธิบายไม่ถูก ชอบๆ นี่ใช่มั๊ย ทางรถไฟที่สวยที่สุดในประเทศไทย เรามาแล้วนะ :P
หลังจากผ่านรางรถไฟไม้มาซักพัก ก็เผลอหลับไปอีกรอบ…
หิวอะ
บนรถไฟจะมีน้ำ มีอาหาร เดินขายอยู่ตลอดเวลา เลยลองซื้อแพนเค้กที่ขายบนรถไฟมากิน ฮ่าา ฝืดคอดีจริงๆ ร่วนแบบแป้งไม่เกาะกัน รสชาดมาตรฐานขนมเด็ก มีเกล็ดน้ำตาลโรย (ชิ้นละ 10 บ ชิ้นเดียวจอดค่ะ)
ตื่นตอนสุดสถานี ที่สถานีน้ำตกพอดี
ที่หน้าสถานี จะมีรถสองแถวจอดรอรับคนไปน้ำตกไทรโยคอยู่แล้ว วิ่งขึ้นไปเลย คนละ 10 บาทเท่านั้น สองแถวจะส่งเราที่เซเว่น หน้าทางขึ้นน้ำตกค่ะ เลยถามสองแถวว่ามันมีรถไปสังขละบุรีมั๊ย เค้าบอกให้ไปรอใต้ต้นหูหวางเลย มีรถมาตลอด โบกเอา O_o! เราก็เออ ออ เดินมาใต้ต้นหูกวาง ที่มีคนยืนรออยู๋แล้วประมาณ 3-4 คน จังหวะนี้เริ่มหวั่นๆแล้ว ว่ารถเข้าสังขละจะหมดรึยัง เพราะรถไฟเลทไปเกือบ 2 ชั่วโมง ตั๋วบอกว่าถึง 12.35 แต่นี้มันบ่าย 2 แล้วววววววนะ!!! ในแพลนวางไว้ว่า ต้องหารถไปสังขละให้ได้ก่อน บ่าย 2 ถ้าไม่ได้ให้นั่งรถกลับไปนอนกาญเลย เอื่อออ
จึงถามคนแถวนั้นอีกรอบเพื่อความแน่ใจ เจอชายหญิงคู่นึง เค้าจะไปทองผาภูมิ ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนถึงสังขละ เค้าบอกไปด้วยกันได้ เย่ๆ ได้ที่พึ่งทางจิตใจแล้ว ก็ยืนคุยๆกัน ชื่อน้องออยกับน้องเอ็ม เป็นแฟนกัน
ยืนรอรถซักพัก รู้สึกมวนท้องทะแม่งๆ เอาแล้วไง แพนเค้กทำพิษแล้วจร้าาา โชคดีแถวนั้นมีห้องน้ำอยู่ไม่ไกล 5 บาท ปล่อยไป 1 ดอก กลับมารอรถต่อ ถึงบ่าย 3 รถบัสมาแระ เป็นรถแอร์ กาญฯ – สังขละบุรี เจอปัญหาต่อไปคือ คนแน่นมากกก ถึงมากที่สุด กลัวไม่ได้ไป เลยตัดสินใจเบียดๆไป แถมแอร์ร้อนอีก ได้ยืนเบียดๆกัน 3 คน ตรงทางเดิน คือ ตอนนั้นคิดในใจเลยว่า กุมาทำอะไรอยู่ตรงนี้วะเนี่ยย อยู่สบายๆไม่ชอบ ชอบออกมาลำบาก แต่ก็ครั้งหนึ่งในชีวิตอะเนอะ มาถึงขนาดนี้แล้ว จะว่าหนุกก็หนุก จะว่าเหนื่อยก็เหนื่อย เอาวะ
กะเป๋าเรียกเก็บเงิน เอ็มกะออยก่อน คนละ 50 บ กำลังจะโล่งใจ ได้ราคาถูก พอเราบอกไป สังขละ ดันเก็บ 150 บ หือ!!! สังขละไกลจากทองผา 3 เท่าเลยหรอ ความไกลไม่เท่าไหร่
แต่
กุต้องยืนร้อนอย่างนี้ไปอีกกี่ชั่วโมง T_T
ถึงอำเภอทองผาภูมิ
น้องออยปลุก พี่ๆ ถึงแล้วนะ พี่ต้องย้ายไปขึ้นคันอื่น เพราะคันนี้ไม่เข้าสังขละ ห๊ะ!! ปลายทางรถก็บอกไปสังขละ แล้วทำไมไม่ไป! หลอกลวงผู้บริโภคนะ แต่ก็ต้องเลยร่ำลาน้องทั้งสอง และลงจากรถไป ที่พึ่งทางจิตใจหายไป T_T
เอ๋อแพร๊บบบ
ลงจากรถแล้วยังไง!?!?!?!? ต้องไปไหน!?!?!?! ที่นี่คือส่วนใหนของประเทศกาญจนบุรี!?!?!? ก่อนจะเหลือบไปเห็นรถบัสพัดลม หรือเรียกว่า รถหวานเย็น เขียนปลายทางหน้ารถว่า ทองผาภูมิ – สังขละบุรี ที่กำลังจะออก!!!!
วิ่ง วิ่งสิคะ วิ่งไปขึ้นปุ๊ป รถก็ออกทันที
ใกล้เข้ามาอีกนิดแล้วสินะ สังขละบุรี นั่งรถหลายต่อเหลือเกิน หวานเย็นคันนี้เย็นกว่าบัสแอร์คันนั้นเยอะ รู้สึกสบายตัวขึ้นมาทันที:) นั่งฟังเพลง อมยิ้มอยู่คนเดียว ซักพัก ฝนก็ตก!!! มิน่าหละ มันเย็นๆ มาตกอะไรตอนใกล้ถึงเนี่ยยย ต้องเดิน walk in หาที่พักอีกนะ
ฟ้าครึ้มมาเลย บวกกับต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ยังกับกำลังเดินทางไปมิติลี้ลับ – -“
ในที่สุด ก็ถึงซักที และอยู่ๆฝนก็หยุดตก ลงรถมา ขอเอ๋อแพร๊บ ต้องเดินไปทางไหน อะไรยังไง ไม่รู้เลย (คือไม่ยอมเอาแผนที่ขึ้นมาเปิดไง) มองไปเจอเซเว่นอยู่รำไรๆ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที ขอพักที่เซเว่นก่อนละกัน แล้วค่อยมองหามอไซด์ไปต่อ
P GUESTHOUSE สังขละบุรี
วอคอินหาที่พัก ตอนแรกเล็ง ไฮกุ กับ ชื่นใจเฮ้าไว้ แต่เต็มหมดหงะ ก็เล่นมาซะเย็นขนาดนี้ อดชิกๆคูลๆ แล้วหละ!!! และก็มาจบที่ P guesthouse เข้าที่พัก ก็ 6 โมงพอดี พระอาทิตย์ตกดิน
ห้องพักเรา เป็นห้องพัดลม คืนละ 250 บาท ห้องน้ำรวม ห้องเล็กๆ มี2เตียง กับกระจก จิ้งจก แมลง แมงมุม มีเป็นธรรมดา หน้าห้องไม่มีวิวอะไรเลย แต่ไม่เป็นไรอะ เราไม่ซีนะ เดินออกมานิดหน่อยก็เป็นสวนหญ้าวิวแม่น้ำ และวิวสะพานมอญ 180 องศาละ ได้อยู่ๆ เรื่องห้องน้ำรวม เราก็ไม่มีปัญหานะ อยู่ใกล้ๆสบายๆ ห้องอาบน้ำยังใหญ่กว่าห้องนอนอีก บอกเลย ฮ่าๆๆ
ที่ห้องไม่มีสบู่ แชมพู ครีมนวดให้ เลยว่าจะเช่ามอไซด์ออกไปซื้อ แต่มีคนเช่ามอไซด์ไปหมดแล้ว อด จึงยืมจักรยานปั่นไปร้านใกล้ๆที่พัก แล้วนึกขึ้นได้ว่า วันนี้มีถนนคนเดินนะ ลองไปดูดีกว่าๆ ปั่นไปได้สักพัก คือบับ เหมือนจะเป็นทางเรียบ แต่มันเป็นเนิน เหมือนมันจะใกล้ๆ แต่จริงๆมันไกล
ปั่นไม่ไหวแล้ววววววๆๆๆ เข็นเอาละกัน เข็นๆปั่นๆ สลับกันไป ทั้งเหนื่อย ทั้งหอบ
ตอนดูในแผนที่ ไม่เห็นรู้สึกว่ามันไกลอย่างนี้นะ หรือมองเห็นสะพานจากรีสอร์ท มันก็เหมือนไม่ไกลมากนะ เอาน่ะ ได้ซื้อของกินถนนคนเดินซักหน่อย เดินทางมานานข้าวก็ยังไม่ได้กิน ก็คงจะดี
ปั่นจนไปถึงสะพานมอญ อ้าวว ทำไมมันเงียบๆ ถนนคนเดินปิดแล้วหรอ มาช้าไปใช่มั้ย หรือว่า มันไม่ได้จัดที่สะพาน !!!!
เอ๋อเลยยย – -“
คือ เข้าใจมาตลอดว่า ถนนคนเดินอยู่ที่สะพานมอญ ปั่นมาแทบตายนะ ไหนๆก็ไหนๆ ปั่นมาแล้ว ก็ลงไปเดินเล่น ถ่ายรูปสะพานหน่อยแล้วกัน มืดละ
แล้วก็เพิ่งรู้ว่า ที่ปั่นมาหนะ มันเป็นทางที่อ้อมมากๆๆๆๆๆ มีแผนที่ แต่ไม่รู้จักดูนะ เออ T_T ขากลับเลยจะกลับทางใหม่ที่มันไม่อ้อม ปั่นๆ ไปสักพัก ข้างทางเริ่มมีแต่ป่า ไม่มีรถคนอื่น ไม่คุ้นทาง ไม่มีไฟถนนใช้ไฟฉายไอโฟนส่องทาง เอาแล้วไง จินตนาการบังเกิดอะไรตอนนี้ ภาพจำจากในหนังผีเริ่มมา ไม่กล้ามองข้างทาง หลับตาปั่นได้ คงหลับตาไปแล้ว
ไม่ไหวแล้ววว เลยถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ แบบว่ากลัวผีมากกว่าคนอะ ปั่นย้อนกลับมาหน้าแพรมิตรสัมพันธ์ เจอพนักงานโบกรถ ทำหน้าจ๋อยเดินเข้าไป
“ พี่ๆ ทางเส้นนี้มันไป พีเกสเฮ้าได้ป่าวคะ”
“ @#@#?$>@?#<?#<%!?$<^ “
ภาษาพม่ามาเต็ม ขอบคุณ!!
แล้วเขาก็เดินไปเรียกชายอีกคนนึงมาคุย รู้เรื่องละค่ะ
“ ทางนี้ไปพีได้ แต่มันมืดนะ น่ากลัว ปั่นจักรยานไม่ได้ด้วย เพราะเนินมันสูงมาก”
“ เอ่อ คือ ไปส่งได้มั้ยคะ แค่ตรงปากทางถนนหลัก ก็พอ” เชิดหัวคิ้วขึ้น พร้อมทำหน้าตาน่าสงสารหน่อยๆ
เค้าใจดี ให้เอาจักรยานขึ้นมอไซด์เลยจร้าาา ไม่ต้องปั่นแล้วๆๆ กลับถึงห้องอย่างปลอดภัย ยอมเสียเงินสั่งข้าวกระเพราหมูไข่ดาว ที่รีสอร์ทกิน(แพงอะ) แล้วสั่งเบียย้อมใจเพิ่มอีกขวด หมดไป 160 บ คืนนี้สบายยยย
สบายที่ไหนล่ะเมิ้งงง
ลืมซื้อสบู่ กับแชมพู 5555
………….
เช้าวันอาทิตย์ ที่ 6
ตื่น 7 โมงนี่เช้าที่สุดในรอบปีแล้วนะ ออกมานั่งสูดอากาศ เดินเล่น ชมวิว วันนี้ว่าจะเช่ามอไซด์ไปฝั่งหมู๋บ้านมอญซักหน่อย แต่ก็ยังไม่มีใครมาคืนมอไซด์ เฮ้อ ไม่รอแล้วเว่ย ไม่ปั่นจักรยานด้วย ออกเดินเลยแล้วกัน !!!
เดินออกมาหน้ารีสอร์ท จะเจอ graph cafe ร้านกาแฟน่ารักๆ ข้างหลังร้านเป็น ไฮกุเกสเฮ้าส์ ตามสไตล์คนชิกๆคูลๆ อย่างเรา พลาดไม่ได้
กฏข้อสาม ของ backpacker คือ ไปไม่ได้ให้โบก (ข้อ1 และ 2 คืออะไรก็ไม่รู้นะ 555) หลังจากทำตัวชิกคูลจบแล้ว อยากจะไปเดินเล่นที่สะพานมอญ แต่ไม่รู้จะไปยังไง รู้แค่ต้องไปเริ่มต้นในเมือง ในเมืองมีพี่วิน พี่วินพาไปได้ทุกที่ โบกเลย จังหวะนี้ ด้านได้ อายอดนะ โบกรถพี่มอไซด์เข้าเมือง ลงเซเว่นค่ะ ที่พักพิงที่อุ่นใจที่สุด ขอตั้งหลักก่อน แว๊บดูตารางเดินรถขากลับ
อันนี้ตารางรถแดง บขส หวานเย็น ไปเมืองกาญ รอบสุดท้าย บ่ายโมง15 ส่วนอีกอันเป็นตาราง สังขละ – กรุงเทพ ยิงยาวเข้า กทม 9.30 แต่คาดว่าไม่ทันแหะ
เดินไปหาพี่วินมอไซด์ไปสะพานมอญ พี่วินพูดไทยไม่ชัด มาจากพม่าแน่ๆ แล้วความคิด อยากไปพม่าก็เข้ามาในหัว จึงถามวิธีไปพม่าเรียบร้อย แถมพี่วินแจกเบอร์ด้วย โอเคเลย โปรแกรมวันนี้ แพลนเสร็จทันที
ช่วงเช้า ทัวร์หมู่บ้านมอญ
ช่วงบ่าย นั่งสองแถวไปพม่ากัน :P
สะพานมอญ สังขละบุรี
ก่อนอื่นเลย สะพานมอญตอนสายๆ เดี๋ยวนี้วิถีชาวบ้าน จากเรือที่ไว้ใช้ออกหาปลา ก็เป็นเรือสำหรับออกหานักท่องเที่ยว ตกเบ็ดกันด้วยคำพูดเชื้อเชิญ โดยมีเหยื่อเป็นสถานที่ ชีวิตคนเรามันเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดได้ตลอดแหละ
น่าเสียดายที่ไม่ได้มาก่อนที่สะพานมอญนี้ จะโดนน้ำป่าไหลหลากมาถล่มสะพาน แต่ ก็ได้เห็นมุมมองที่ต่างออกไป เจอเด็กชาวบ้านนั่งเล่นอยู่ที่สะพาน ไปแอบได้ยินมาว่า
เด็กชาย เอ : เมื่อวานนี้มาโดดสะพานเล่นๆ ได้เงินตั้ง 700
เด็กชาย บี : อาทิตย์ก่อน กุได้ 1000 นึง
เด็กชาย ซี : ถ้าเรามาโดดทุกวัน ปีนึง คงได้ตังเยอะมากก
เงินไหลมาเทมานะน้องนะ…
ตีนสะพานมีของขาย อดใจไม่ไหว ว่าจะไม่ซื้ออะไร ดันไปเห็นกำไลข้อเท้า ซักหน่อยนะ ใส่เดิน ชิกๆคูลๆ
ข้ามมาที่ฝั่งหมู่บ้านมอญ แวะลองขนมจีนป้าหยิน น้ำยาแกงฮัลเลครึ้งแรก เผ็ดสัสค่ะ กินไม่ทันหมด จู๊ดแตกตามสไตล์ ชอบลองของแปลกก็เงี้ย
เจดีย์พุธคยา สังขละบุรี
โบกรถเที่ยวจุดแลนด์มาร์ค โดยการถามจากป้าร้านขนมจีนนั้นแหละ คุณแฟนป้าคงเห็นหน้าตาเด๋อด๋าๆ เค้าเลยอาสาพาเที่ยว วัดหลวงพ่ออุตมะ และเจดีย์พุธคยา ด้วยรถสามล้อจ่ายตลาด อิอิ
สังขละบุรีไปด่านชายแดนเจดีย์สามองค์
แดด 11 โมงร้อนละอุ แทบจะไหม้ จนเกิดอาการ ตายแดด รีบเดินข้ามสะพานมอญกลับไปฝั่งไทย โบกรถชาวบ้านกลับรีสอร์ท ระหว่างนั่งรถ พี่ที่รีสอร์ทโทรมาว่า ได้รถแล้วนะ มาเอาไปขับได้เลย แล้วคือ… ไปมาหมด โดยไม่ต้องใช้รถ ช้าไปนะคะ – -“
แต่ก็เอาอยู่ดี
กลับห้องมาพักซักหน่อย ให้แดดร่มลมตก ค่อยออกไปพม่ากัน แต่ดันเป็นห้องพัดลม ร้อนหวะ คิดถึงห้องแอร์ ว่าแล้วก็สั่งน้ำสัปรดปั่นมากิน สดซื้นขึ้นนิดนึง
ได้เวลาเดินทาง เตรียมตัวหมวก แว่น ขี่มอไซด์ไปตั้งหลักหน้าเซเว่น (อีกแล้ว) เพื่อรอโบกสองแถวไปด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งอยู๋ไกลจากเมือง 19 กิโล จะขับมอไซด์ไปเองก็ไกลเกิ๊น ถามพี่วิน เค้าคิดค่าไปส่ง 200 แหนะ เนื่องจากอากาศมันร้อนมาก ระหว่างรถรถ เลยเข้าไปหลบแดด ตากแอร์ในเซเว่น และแอบส่องสองแถวตรงกระจกเอา- -“
มาแว้ววววว เป็นสองแถวสีเขียว ไม่มีคนนั่งเลย
“พี่ๆ ไปด่านเจดีย์ป่าวคะ”
พี่สองแถวนิ่งคิดสักแปป เหมา 200 นะ
เอิ่ม… บัยค่ะ
เดินกลับเข้าไปรอในเซเว่นเพื่อนคู่ใจดังเดิม ครึ่ง ชม ผ่านไป สองแถวคันไหม่ก็มา คราวนี้คนเต็มรถเลย
“ด่านเจดีย์ปะพี่”
“ขึ้นเลยน้อง”
เดินไปข้างหลังรถเท่านั้นแหละ เคร่!!! ไม่มี space ให้ place ทั้งคน ทั้งเด็ก ทั้งกระสอบข้าว หม้อถัง กะละมัง ไห
เพ่ฮะ เต็มซะขนาดนี้ยังจะรับกุขึ้นอีก
แต่ไม่อยากรอแล้วอะ ทำไงได้ วะ ไปก็ไป ยืนเกาะอยู่ข้างหลังละกัน พอมีที่ให้เหยียบอยู๋บ้าง ยืน 19 โลเองงงงงงง – -“ เบียดตัวไปข้างๆ ชายฉกรร 5-6 คน ที่โหนอยู่ท้ายรถ และทุกคนพูดภาษาที่เราฟังไม่ออก!
ประสบการณ์โหนรถเมล์ไปพม่าเกิดขึ้นแล้ว…
ความคิดที่ว่า “กุมาทำอะไรอยู่ที่นี่วะ” ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ความกลัวสิ่งต่างๆเริ่มผุดเข้ามา โดนขโมย โดนฉุด ตกรถ กลับไม่ทัน กลับยังไง ฟังไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่อง คิดถึงพ่อ แม่ พี่ มากตอนนั้น จินตนาการมา อยู่ดีๆก็เห็นทุกคนหน้าตาแปลกๆ เหมือนมีอีกร่างอยู่ข้างใน หรือว่าเป็นมนุษย์ต่างด้าวปลอมตัวมา ส่วนชายข้างๆ นี่แม่งเบียดกุจัง เถิบไปอีกก็ได้นะ ไอ่เราหนีบกะเป๋าสุดริด ไม่กล้าหยิบโทรสับขึ้นมา อยู๋เงียบๆ ไม่มองหน้าใคร ไม่คุยกับใคร
ระหว่างทางไปพม่า
จะมีด่านตรวจเป็นระยะๆ และตำรวจก็จะเรียกลงทุกครั้ง
“ พม่าทั้งคัน ลงมาครับๆ ต่อแถวเลย ”
เอ่อ คือ … เรากลายเป็นคนประหลาดทันที ทันใด มีบัตรประชาชนอยู่คนเดียว ไม่ต้องไปต่อแถว
ทุกๆด่านก็จะมีตำรวจ 1 คน เข้ามาซักประวัติ ประหนึ่งว่าเป็นพม่าปลอมตัว “ พักที่ไหน” “มากับใคร” “เพื่อนอยู่ไหน” “มาทำอะไร” “มาจากขอนแก่นเลยหรอ มาไกลนะ “ พูดแบบนี้คล้ายๆกัน ผ่านไป 4 ด่าน และผ่านไปแต่ละด่าน จำนวนคนในรถก็จะลดลงเรื่อยๆ ตอนนี้ได้นั่งแล้ว เหลือผุ้รอดชีวิตอยู่ 7 คนสุดท้าย
มีป้าคนนึงมาคุยด้วย และบ่นให้ฟัง “ ตำรวจจะตั้งด่านอะไรนักหนา ขนาดมีพาสปอร์ท โดนไปด่านละร้อยๆ แล้ว ค่ารถแค่ 150 แต่ค่าโดนด่าน 500!!!! “ เลยรู้เหตุผลที่คนพม่าต้องไปเข้าแถวทุกๆด่าน อย่างนนี้นี่เองงงงง
ถึงพม่าแล้ว
ทุกครั้งหลังจากลงรถ และสัมผัสพื้นดินต่างถิ่น ความรู้สึกเป๋อๆ งงๆ จะบังเกิด อยู่ส่วนไหน? ไปยังไง? ไปทิศไหน? อีกไกลมั๊ย ? ถามพี่สองแถว บอกว่า ไปอีก 500เมตร ถึงด่านนะ จะมีตลาดอยู๋ข้างหน้า จะเดินก็ได้ มอไซด์ก็ได้ 10 บ เอง ตัดสินใจขึ้นมอไซด์ด้วยความขี้เกียด
“ พี่ๆ ไปตลาด “
“ #?@#> @#> ข้างล่าง ”
ฟังพี่แกไม่ค่อยชัด รู้เรื่องอยู่แค่นี้
“ ไม่ๆ พี่ หนูจะไปตลาด ตรงเนี่ยๆๆ(ชี้ๆ) ที่ด่านอะ “
“ @#!@# ข้างล่างนะ !@## ?<>”:”@## (ชี้ๆ ไปทางเดียวกัน) “
“ อะๆ ข้างล่างก็ข้างล่าง – -“
ข้างล่าง คืออัลลัยยยยย !?!?!?!
ก็ซ้อนท้ายพี่เค้าไป ก่อนออก มีพี่มอไซด์อีกมาฝากเด็กน้อยให้ติดรถไปด้วย รถออก ปรากฎว่า ไม่ได้ไปทางด่านจร้าาาาาา พากุไปไหนเนี่ยยยยยยย เข้าซอยเล็กๆ ถนนลูกรัง เป็นป่าๆ มีบ้านอยู่นิดนึง ตายแล้วๆๆ ตื่นเติ้ลลลล จับความรู้สึกจังหวะที่ รถเปลี่ยนจากเลนซ้ายไปอยู่เลนขวา โดยที่ไม่ต้องผ่านด่านชายแดน เห้ยยย เรื่องอย่างงี้มันเกิดขึ้นได้จริงๆ
ฉันกลายเป็นมนุษย์ต่างด้าว ในการเยือนพม่าครั้งแรก….
หมูพะโล้เสียบไม้
ขับมาได้สักพัก ไม่รู้ว่า “ ข้างล่าง” ของเค้าคืออะไร เราเลยตัดสินใจลงตรงที่ๆ ดูเหมือนตลาด มีร้านขายของ มีวินมอไซด์ ลืมบอกไปว่า เรามีตังติดตัวแค่ 200 ไม่ได้แลกเงินพม่าด้วย กะไม่ซื้ออะไรอยู่แล้ว และรู้ว่าพม่าเค้าก็รับเงินไทยอยู่ จะจ่ายแบงค์ 100 ค่ามอไซด์ไม่มีทอนอีก เลยต้องหาร้านแลกเงิน ไปเจอรถขายหมูพะโล้เสียบไม้ ไม้ละ 1 บาท กำลังหิวพอดี ซื้อเลยละกัน 5 ไม้ใส่ถุงนะคะ (คนขายพูดไทยได้แถมรับเงินไทย ดีไป) จ่ายเงินมอไซด์เสร็จ เดินไปกินไป 5 ไม้ ได้ 5 คำ เดิน 5 ก้าวก็หมดแล้ว
แต่!!
มันอร่อยมากกกกก อยากกินอีก ติดใจ
เลยย้อนกลับไป เห็นคนยืนกินอยู่แล้ว เลยทำบ้าง ยืนกินมันตรงนั้นแหละ มีหม้อพะโล้ใหญ่ๆ อยู่ตรงกลาง หมูสามชั้น หนังหมู เนื้อหมู ตับ ใส้ เครื่องใน แต่ละชิ้นถูกหันเสียบไม้ให้เรียบร้อย มีน้ำซุปร้อนๆมาเสริฟ มีน้ำจิ้มเลือก 2 ชนิด อันนึ้งเหมือนน้ำจิ้มสุกี้ อีกอันเหมือนน้ำจิ้มซีฟู๊ด กินอย่างสบายใจ เหมือนอยู่ในซุชิบาร์
โดนไป 30 ไม้
ประทับใจจริงๆ ^_^
การเดินคนเดียวก็สนุกไปอีกแบบ หยุดที่ๆ อยากหยุด ไปที่ๆ อยากไป ด้วยวิธีของตัวเอง ชอบความรู้สึกนี้จัง ทุกอย่างมันแปลก มันใหม่ ถึงแม้มีร้านขายของเหมือนของบ้านเรา ขนม ผงซักฟอก น้ำปลา ยี่ห้อไทย แต่มันก็รู้สึกแปลกตาอยู่ดี ภาษาที่อ่านไม่ออก คนที่พูดไม่รู้เรื่อง เส้นทางที่ไม่อยู่ในแผนที่
ความไม่รู้ กลับทำให้ฉันตื่นเต้นทุกครั้ง
…
ได้เวลากลับประเทศแล้ว
เรียกมอไซด์ ไปไทย แบบไม่ผ่าน ตม. เค้าพาไปส่งข้างหลังตลาดที่ด่าน และลอดช่องจากหลังร้านเข้าไป – -“ นี่สินะ ด่านเจย์ดีสามองค์ ที่ควรจะเห็นตอนขามา ไม่ใช่ขากลับ เราตัดสินใจ เดิน ไปที่ขึ้นรถสองแถว 500 เมตร ไม่เอาแล้ว มอไซด์ ระทึกทุกครั้ง
*สองแถวกลับสังขละรอบสุดท้ายคือ 6 โมงเย็น
กลับที่พักอย่างปลอดภัย เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัยค่ะ พักจนหายเหนื่อย ค่ำๆ ขับรถออกไปหาอะไรกินถนนคนเดิน คราวนี้ไปถูกทางแล้ว ฮี่ฮี่ ^_^
เช้าวันจันทร์ ที่ 7
ตื่นสาย!! ว่าจะไปตักบาตรที่สะพาน – -“ เลยออกไปขับรถมอไซด์เล่นแทน อากาศยามเช้าดีจริงๆ เราขับมอไซด์กินลม ชมวิว ไปหมู่บ้านมอญ ไปวัด ไปเจดีย์ อีกรอบนึง และแวะกินต้มเลือดหมูข้างเซเว่น
10 โมงตรง เลยเวลาที่รถบัสที่ดูไว้วันก่อน สังขละ – กรุงเทพ ออกแล้ว เรายังนั่งกินข้าวอยู่แลย – -” เราไม่ซีกับการนั่งรถหวานเย็นเข้าเมืองอยู่แล้วไง บ่ายโมงออกก็ได้ แต่ถ้าได้รถบัสแอร์เย็นๆ ยิงยาวถึงกรุงเทพเลยก็จะดีกว่านะ 555
ไม่รู้อะไรดลใจ เดินไปถามที่ขายตั๋วรถทัวไปกรุงเทพ อีกครั้ง เค้าบอกว่า รถรอบเช้าเสีย ไม่ได้ออก แต่เดี๋ยวมีรถเข้ามาไหม่แทน ตอน บ่ายโมง สวรรค์เข้าข้างเราละหละ ได้กลับแบบสบายๆ สมใจอยาก ^__^ ว่าแล้วก็กลับไปรีสอร์ท อาบน้ำ เก็บของ นั่งชิว และเช็คเอ้าท์ออกมาตอนเที่ยง
บ๊าย บาย
บ้ายบายนะ P GUESTHOUSE
บ้ายบายนะ 7-11 คู่ใจ
บ๊ายบายชาวมอญ ช่าวพม่าทั้งหลายแหล่
บ๊ายบายสังขละบุรี
บ๊ายบายพม่า
บ๊ายบายสะพาน
บ๊ายบายฝรั่งคนนั้น :3
บ๊ายบายนะ
ไว้เราจะพาไปเที่ยวใหม่น้าา
ขอบคุณที่ติดตามจนจบค่าาา ^____^
ต้นอ้อ
ค่าใช้จ่าย รวม 2040 บาท
——- เดินทาง 890THB ——–
รถไฟ ฟรี
สองแถวไปน้ำตก 10
รถบัสเข้าสังขละ 150
วินมอไซด์ไปรีสอร์ท 40
มอไซด์ไปสะพาน 20
เช่ามอไซด์ + น้ำมัน 250
สองแถวไปด่าน ไป – กลับ 60
มอไซด์ไปกลับ พม่า – ไทย 40
รถทัวร์กลับ กรุงเทพ(หมอชิต) 320
——- ที่พัก 500THB ——–
ที่พัก 500
——- อาหารเครื่องดื่ม 650THB ———