EN ROUTE TO LAOS (1) เรื่องลาวของฉันกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ
ตอน 1 หลวงน้ำทา – ปากมอง – หนองเขียว – เมืองงอย
เราว่าช่วงจังหวะนึงของชีวิต มันควรได้ลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำดูซักครั้ง เราอยากลองไปเที่ยวแบบยาวๆ ดู ใช้ชีวิตแบบหลุดๆให้มันสุด ไม่ต้องหลุดนาน ไม่ต้องหลุดตลอดไป แค่ซักพักก็พอ เพราะเมื่อไหร่ที่เที่ยวนานๆ หยุดนานๆ มันก็คงจะไม่สนุกละ กลัวจะลืมไปว่าความสุขของวันหยุดมันเป็นยังไง (พูดไปสวยๆ แหละ จริงๆคือตังหมด 555)
เมื่อโอกาสมาถึง มีแรง มีเวลา มีกะตังค์ เราตัดสินใจเปลี่ยนงาน และใช้ช่วงเวลาระหว่างนั้นแหละ ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำดู
“กลับบ้าน”
ข้ออ้างเบาๆของการลาออกไป “เที่ยว” จะออกไปอยู่บ้านก่อนซักพัก แล้วค่อยหางานไหม่ทำ แต่ก่อนกลับบ้านครั้งนี้ จะขอกลับแบบพิเศษๆ หน่อยละกัน
ระยะทางกลับบ้าน กรุงเทพ-ขอนแก่น ในแบบเราอาจจะแปลกกว่าชาวบ้านสักหน่อย ว่าจะแวะไปทำตัวชิกๆที่เชียงรายก่อน / แล้วนั่งเรือไปชิวที่หลวงพระบาง ซัก 2 วัน / ลองไปเมืองที่ไม่รู้จักซักครั้ง / ไปโดดน้ำที่บลูลากูนซักตู๊มสองตู๊ม / ล่องห่วงยางที่วังเวียงซักแป๊ป / ค่อยนั่งรถไฟกลับบ้านแบบ slow life . เป็นการเดินทางกลับบ้านจริงๆ แต่กลับแบบอ้อมๆ
หากบิน กทม-ขอนแก่น 45 นาที หากนั่งรถทัวร์ 6 ชั่วโมง เราแพลนไว้ที่ 7 วัน แต่ล่อไป 14 วัน นี่ถ้าไม่มีเวลา ทำตัวแบบนี้ไม่ได้หรอก พูดเลย ติดอยู่อย่างคือ แม่ตามกลับบ้าน ไม่งั้นคงจะยาวกว่านี้ 555
เนื่องจากเราไปคนเดียว พูดคนเดียว เพราะไม่มีใครคุยด้วย 555 ในระหว่างเดินทาง เราเลยได้คุยกับตัวเองอยู่บ่อยๆ และทะเลาะกับตัวเองบ่อยๆค่ะ แทบจะเป็นบ้าละ บางทีใจไปแล้ว แต่ตัวยังไม่ไป หรือบางทีตัวไปแล้ว แต่ใจยังไม่เดิน
ทริปนี้สนุก เหงา ซ่า โหด มันส์ แป๊ก และไร้สาระ เป็นบันทึกการเดินทางส่วนตัว ไม่ใช่ไกด์บุ๊ค ทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจ บางครั้งขาดการไตร่ตรองที่ดี
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยค่ะ
ปล.1 ทริปนี้เป็นทริปที่เราไปเมื่อปี 2015 เอามาโพสไว้ เผื่อเป็นประโยชน์ หรือเป็นแนวทางให้คนที่สนใจ จะได้หาข้อมูลง่ายๆค่ะ
002
ทำใจที่อยู่ที่เชียงรายก่อน 4 วัน
มาทำงานวันนึงและที่เหลือคือเตรียมความพร้อมก่อนไปลาว นี่เมิงจะเตรียมอะไรนานขนาดนั้น? คือ เอาจริงๆเราก็กลัวนะ ที่อยู่นี่คือเรากำลังหาเพื่อนเที่ยวอะ พูดเลย อยู่โฮสเทล 3 คืน เพื่อหาผู้ร่วมชะตานั่งเรือช้าไปหลวงพระบางด้วยกัน ทำไมหายากเย็นอย่างนี้
“นั่งเรือทำไม แพงกว่า แถมช้ากว่าด้วย ตั้ง 2 วัน นั่งรถบัสไปสิ 12 ชั่วโมงเอง วันเดียวถึง”
สาวจีนที่โฮสเทลคนนึงเอ่ยบอก เพราะนางนั่งรถบัสมาจากจีน ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า ฉันต้องมีจุดยืน ใครจะไปทางอื่นก็ไปเลย ฉันมาที่นี่เพื่อนั่งเรือไปหลวงพระบาง อย่าให้ความคิดของคนอื่นมาทำลายจุดยืนของตัวเอง
ด้วยความกลัว และด้วยอะไรหลายๆอย่าง เมื่อไม่มีคนไปด้วยแล้ว สิ่งที่เราต้องพึ่งพาคือข้อมูลที่แน่น เรา seach หาการเดินทางจากเชียงรายไปหลวงพระบางทางเรือ ได้ข้อมูลเพียบ เห็นภาพ เนื้อแน่นแน่ๆ ไม่มีหลง ไม่มีโดนหลอก หลับตาไปยังได้ (เว่อร์) แต่กลับเจออีเว็บนึงในคืนสุดท้ายก่อนเดินทาง บอกว่า
“ Why getting to Laung prabang by bus better than by slow boat”
1. คุณจะทรมานกับการต้องนั่งเก้าอี้ไม้ไปตลอดทาง
ซึ่งบางลำคุณอาจต้องนั่งพื้นด้วย ต้องลุ้นเอาว่าจะได้นั่งอะไร
2. ถ้าเทียบด้านวิวระหว่างทาง รถบัสก็สวยงามไม่ต่างกับทางเรือหรอก
ไปด้วยบัส มีราคาถูกกว่า เร็วกว่า จะเสียเวลา เสียเงิน นั่งเรือช้าทำไม
3. ปากแบง(เมืองที่หยุดพักเรือ1คืน)ไม่มีอะไรเลย
มีแต่นักท่องเที่ยวตะวันตก มั่วยาปาร์ตี้ และกลิ่นกัญชาตลอดทาง
4. ใครๆก็เลือกนั่งเรือ แต่ถ้าคุณอยากแตกต่าง คุณจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นแน่ๆ
จริงๆมีอีกหลายข้อเลย แต่ที่เราจำได้มีแค่นี้ ข้อสุดท้ายนี่ตบหน้าเราเลย โดนเต็มๆ เราหาข้อมูลของการนั่งเรือได้เป็นตับๆ แต่กลับหาข้อมูลการนั่งรถบัสยากเย็น และพอจะย้อนกลับไปหาเว็บนั้น ก็หามันไม่เจอแล้ว เซิดยังไงก็ไม่เจอ ถ้าจะบิ๊วกันขนาดนี้นะ บัสก็บัสวะ มาร่วมโดนอีเว็บนี้หลอกเราไปพร้อมๆกันเลยค่ะ 5555 เรายังเสียดายจนถึงทุกวันนี้ ที่ไม่ได้เลือกนั่งเรือช้า แถมมันยังทำให้แผนไปหลวงพระบางเปลี่ยนอีกด้วย
ถ้าต้องใช้เวลาไปหลวงพระบางถึง 2 วัน งั้นขอแวะพักเมืองที่ชอบที่ชอบก็แล้วกัน
003
เดินจากเชียงรายทางข้ามไปฝั่งลาว
มีแบบซื้อเป็น package ด้วย จากโฮสเทลที่เราพัก แต่เราเลือกที่จะไปเอง ต่อรถเอง ด้วยคติของทริปนี้ว่าความสะดวกสบายเอาไว้ไปทำที่บ้านนะ
เราตื่นแต่เช้านั่งหวานเย็นจาก บขส.เชียงราย ไป เชียงของ 70บาท / ต่อรถตุ๊กตุ๊กจาก บขส.เชียงของ ไป ด่านชายแดนไทย 50บาท / ต่อรถบัสจากด่านชายแดนไทย ไป ด่านชายแดนลาว 20บาท / โบกรถจากด่านชายแดนลาว ไป สถานีขนส่งเมืองบ่อแก้ว ฟรี
เดี๋ยว!!!
ทำไมต้องโบก
คือ ทุกอย่างจากไทยผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งไปถึงด่านลาว ดั๊นลืมกระเป๋าเล็กไว้บนรถบัส – -“ กว่าจะตามไปเอาได้
ฉันคงจะเบลอเพราะตื่นเช้าไปหน่อย เป็นคนนอนดึกตื่นสายมาหลายปีแล้ว (ที่ทำงานเก่าเริ่มงานบ่าย กว่าจะเลิกงาน กว่าจะได้นอนก็ ตี3ตี4) พอต้องตื่นเช้าร่างกายเลยปรับตัวไม่ทัน (ข้ออ้าง) มันทำให้เราเกาะกลุ่มไปกับคนที่จะเข้า บขส ไม่ทัน พอเราออกมาจากด่านได้ คนเยอะๆที่นั่งรถมาด้วยกันเมื่อกี้ก็หายไปหมดแล้ว เหลือแต่รถตู้แบบเหมา จะเหมาคนเดียวก็หวั่นๆกลัวๆ T_T เราเลยเดินไปถามพี่คนไทยคนนึง เค้ายืนอยู่แถวนั้นพอดี ว่าจะไป บขส ยังไง ถ้าเหมารถจะได้เหมาไปด้วยกัน พี่แกเลยบอกว่า
“เดี๋ยวพี่มีลูกน้องมารับ ไปทางบ่อแก้วพอดี ติดรถไปกับพี่ก็ได้”
เราก็เออออห่อหมกไปกับเค้า คุยกันไปมา ชื่อพี่ต้น พี่เค้าทำธุรกิจส่งปุ๋ย ต้องไปๆกลับๆไทยลาวตลอด
“แล้วน้องจะไปไหนล่ะ”
“อ๋อ กลับบ้านค่ะ แต่ว่าจะแวะหลวงน้ำทาก่อน”
ซักพัก รถพี่เค้าก็มา
004
สวัสดี รถขนปุ๋ย…
พี่ต้นมีลูกน้องมารับ 2 คน เป็นรถบรรทุกแคปเดียว ซึ่งถ้ารวมพี่ต้นกับลูกน้องทั้งสองแล้ว ที่นั่งข้างหน้าก็เต็ม แต่พี่ต้นก็ยังเรียกให้ไปนั่งข้างหน้าอีก
“เอิ่มม ไม่เป็นไรค่ะ”
แล้วเราก็ปีนขึ้นหลังรถเลย
สติมา ปัญญาเกิด พอขึ้นมาแล้ว รถออกจากด่านแล้ว เริ่มมีสติ
‘นี่กุทำอะไรอยู่วะ ขึ้นรถเค้ามาเนี่ย รู้จักเค้ามั๊ยยยยย ถ้าเค้าเอาไปขายจะทำไงงงง?!?!?!?’
(พูดกับตัวเอง)
ความกลัวดีเลย์ไปประมาณ 3 นาทีหลังจากสตาร์ทออกไป เพิ่งรู้สึกตอนขึ้นมาแล้ว กลับตัวก็ไม่ทัน – -“ ได้แต่แอบนั่งลุ้นอยู่หลังกระบะ ในระหว่างทางที่ยังมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่ เราไลน์บอกแม่ บอกพี่ บอกพ่อ บอกแฟน บอกทุกคน ไว้ก่อน เผื่อหายไปจริงๆเค้าจะได้รู้พิกัด
“แม่ะ หนูโบกรถขนปุ๋ย อยู่เมืองลาวคนเดียวนะตอนนี้ ซักพักจะไม่มีสัญญาณละ ถ้ามีไวไฟเมื่อไหร่ เดี๋ยวบอกเด้อ”
บอกไปเชิงขำๆ เหมือนฉันสบายดี แต่ปล่าวเลย กลัวเขาจะเป็นห่วง แล้วไม่รู้ว่าข้อความที่ส่ง จะมีใครได้รับมั้ย เพราะไม่นานนักสัญญาณก็หายไป
ก้าวแรกของการมหากาพย์การเดินทางตัวคนเดียวสู่ลาวเหนือ เริ่มมาก็โบกรถเลย คิดว่าแน่หรือไงวะเนี่ย Wish Me Luck ขอให้ฉันโชคดีแล้วกัน T_T
รถขนปุ๋ยขับผ่านถนนลูกรังไปเรื่อยๆประมาณ 10 นาทีได้ ก็เริ่มเข้าสู่โซนเมือง เริ่มเห็นรั้ว เห็นบ้านคน เขาก็ชะลอรถ บีบแตร ปรื๊นปรื๊น ไอ่เราก็นึกว่าถึงแล้ว แต่อยู่ดีๆก็มีกลุ่มชายหนุ่ม 4 คนขึ้นมาบนกระบะรถที่เรานั่งอยู่
เห้ยยยยย!!!
ตกใจดิ คนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้ โดดจากข้างทางขึ้นมานั่งด้วยเฉยเลย
‘ไม่ ไม่ มันต้องไม่มีอะไร พวกฮีแค่ขึ้นมาจอยรถด้วยกันเฉยๆ มันเป็นทางผ่าน คนขับเค้าก็แค่รับขึ้นมา เหมือนขึ้นรถสองแถวหนะแก’
พยายามมองแง่ดี แง่ที่เป็นไปได้ เพราะถ้ามันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เราก็ …..เอ่อ….. ไม่มีอะไรไปสู้เลย
เรานั่งดูเชิง ดูแก๊งลาวคุยกันไปเรื่อยๆ ก็ดูไม่มีพิษภัยอะไรนะ ความกลัวเกิดจากการมโนล้วนๆ แล้วก็ลองเอ่ยปากถามพวกนาง
“ไปสถานีขนส่งบ่?”
“บ่ ไปตลาด”
หนุ่มคนหนึ่งตอบกลับ ซักพัก รถขนปุ๋ยก็จอดลงที่ๆดูเหมือนตลาด แล้วทุกคนก็ลงจากรถไป
อ่าว… มันเป็นปกติหรอวะ ที่เค้าจะรับคนที่เดินจากข้างทาง ไปส่งในดาวทาวน์ ถ้ามันเป็นเรื่องปกติจริงๆอะ ถือว่าโคตรมีน้ำใจเลย เพราะถ้าเค้าไม่มีน้ำใจ เค้าคงไม่รับเราขึ้นรถมาด้วยอย่างนี้เหมือนกัน 555
แล้วรถขนปุ๋ยที่ไม่มีปุ๋ย มีแต่ฉัน ก็ยังคงเดินทางต่อไป…
005
ถึงแล้ว บขส. บ่อแก้ว
พี่ต้นเดินมาช่วยยกกระเป๋าลงจากรถขนปุ๋ย พาไปซื้อตั๋ว และแนะนำให้รู้จักเจ๊คุมรถ ฝากฝังให้เจ๊ช่วยดูแลน้องสาวผมหน่อย เจ๊จะคล้ายๆกระเป๋ารถเมล์ คล้ายๆแอร์บัสเตรดบนรถบัสนี่แหละ ทำหน้าที่เก็บตั๋วก่อนขึ้นรถ และนั่งเม้ามอยเป็นเพื่อนคนขับ
พี่ต้นบอกว่า
“คนแถวเนี่ยรู้จักพี่หมดแหละ ถ้าเกิดมีใครเข้ามาคุยก็ให้บอกเป็นน้องสาวพี่นะ เค้าจะได้ไม่หลอก”
“ขอบคุณพี่ต้นมากๆค่ะ”
บังเอิญได้เจอพี่ที่เป็นคนดี ถ้าไม่ใช่พี่ น้องอาจไม่ถึงบ้านก็ได้ T_T พี่ต้นและสหายอยู่ส่งเราซักพัก แล้วก็โบกมือลาจากไป
รถบัสจาก บ่อแก้ว ไป หลวงน้ำทา ที่เราได้มาคือรถรอบ 12.00 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง เหลือเวลาอีกชั่วโมงนึงก็นั่งรอ นอนรอ รำลึกเหตุการณ์หลังจากออกจากเชียงราย พร้อมกับชูสามนิ้วปฏิญานตนกับตัวเองเบาๆ
‘ด้วยเกียรติของอดีตเนตรนารี นอกจากฉันต้องรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตย์แล้ว ฉันต้องรักตัวเองด้วย ฉันจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงแบบเมื่อกี้อีก ยังอยากกลับบ้านไปเจอพ่อเจอแม่อยู่นะ’
…
ถึงเวลาเจ๊เรียกขึ้นรถแล้ว เป็นรถบัสขนาดเล็ก 20 ที่นั่ง ลักษณะภายนอก มองตอนแรกนึกว่ารถแอร์ ที่ไหนได้ รถพัดลมจ้าาาา เป็นหวานเย็นที่ไหม่และโฮโซกว่าหวานเย็นพี่ไทยมาก แต่จากสีรถนี่คือ นี่รถสีน้ำตาลหรอ? เราว่าไม่น่าใช่ จินตนาการออกเลยว่าจะเจออะไรระหว่างทาง คิดอยู่ว่า น่าจะจะพกแมสปิดจมูกมาด้วยนะ
006
ภูเขา สีเขียว และสายฝน
ระหว่างทางมันโคตรสวยจริงๆ อากาศเย็นๆกำลังดี มีหมอกแบบพอหอมปากหอมคอ เพราะทางนี้เหมือนเป็นถนนลอยฟ้า เวลารถอยู่บนสันเขา มองไปจะเห็นเมฆหมอกอยู่ข้างล่างเรา ฝนก็ตกแบบเบาๆ เย็นๆ
ขออธิบายแบบกระชับฉับไว ไม่มีพรรณาโวหารแล้วกัน อากาศมันดีจนแม่งหลับแบบไม่รู้เรื่องเลย อิวิวที่อธิบายไปข้างบนอะ เห็นแค่ 15 นาทีแรก แล้วยาแก้เมารถก็ทำงาน ที่เหลือคือจินตนาการ แล้วตื่นมาหน้าเปียกจริงๆ 5555
คือรถพัดลม ลืมปิดหน้าต่าง…
007
‘ต้องใช้ความกล้าแค่ไหน
ในการเข้าไปคุยกับคนแปลกหน้า?’
เวลาไปคนเดียวอะ ความกลัวมันมีอยู่ตลอดเวลาเลย ถึงแม้ใครๆบอกว่าเราใจกล้า หน้าด้าน มาเจอของจริงนี่ป๊อดใช่เล่นนะ แล้วเมืองหลวงน้ำทาที่กำลังจะไปเนี่ย เป็นเมืองอะไรยังไงไม่รู้เลย ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ แค่เพียงชื่อมันคล้ายกับหลวงพระบางเฉยๆหรอก ก็เลยอยากลองไปดู
มันคงจะดีกว่า หากโดนหลอก หรือหลงทาง แล้วมีเพื่อนร่วมชะตากรรม
บนรถบัส
มีฝรั่งสองคนชายหญิงมาด้วยกัน เป็นนักท่องเที่ยวแน่ๆ หัวอกเดียวกัน น่าจะช่วยเหลือกันได้บ้าง
จริงๆเราเห็นตั้งแต่รอที่สถานีบ่อแก้วแล้ว อยากจะเข้าไปทำความรู้จัก อยากหาแนวร่วมว่างั้นแหละ แต่เห็นทั้งสองนั่งกินเงาะอยู่ เลยไม่กล้า ทำใจไม่ได้หวะ ไม่รู้จะเข้าไปคุยท่าไหน จะพูดว่าอะไรดี ทำไมรู้สึกเสร่อ จะเข้าไปขอกินเงาะด้วย งี้หรอ? เค้าทำความรู้จักคนที่เพิ่งเจอกันยังไงวะ มันยากนะเว่ย ที่อยู่ดีๆจะเดินเข้าไปคุยด้วยอะ
มันต้องมีจังหวะ เอาวะ
จังหวะนี้แหละ
จังหวะจอดรถเข้าห้องน้ำ
การจอดพักรถเพื่อเข้าห้องน้ำของที่นี่ ไม่ธรรมดา คือมันนึกจะจอดตรงไหนก็จอด ตอนแรกก็งงๆ นะว่าจอดทำไม พอเห็นเจ๊คุมรถบอกว่าจอดพัก และคนอื่นๆเดินลงจากรถไปเข้าป่า ถึงเข้าใจ ว่าเอาอย่างงี้เลยใช่มั้ย โอเคร๊ ห้องน้ำอยู่ในป่า เก็ทวิถีลาวละ พอดีเราไม่ได้ปวดขนาดนั้น รอบนี้ขอบายค่ะ
มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ ผู้ชายเข้าป่าฝั่งขวา ผุ้หญิงเข้าป่าฝั่งซ้ายย มันแยกกันได้โดยไม่ต้องมีป้ายบอก ฝรั่งก็งงดิ คงนึกว่ารถเสีย เพราะคนลงจากรถกันเกือบหมด เราเลยได้จังหวะคุย ว่ารถเค้าจอดให้ไปฉี่
“Where is the toilet?!?!”
“เอ่อ anywhere in that forest – -”
ฝรั่งชายลงไปฉี่ ส่วนผู้หญิงนั่งต่อ เราก็เลยได้คุยกันนิดนึง พอให้รู้ว่าชั้นพูดภาษาอังกฤษได้นะ มาเที่ยวเหมือนกัน
“Where are you from?”
“I’m from France, you?”
“I’m from Thailand ค่ะ”
โล่งงงงง เมื่อบทสนทนาแรกเริ่มได้ ทุกอย่างมันก็สบายใจขึ้น ถึงแม้จะคุยแค่ไม่กี่ประโยค นั่งกลัวอะไรอยู่ตั้งนานนม แล้วขึ้นรถเดินทางต่อไป
008
ณ สถานีขนส่งหลวงน้ำทา
“พวกยูมีที่พักยังอะ”
“ยัง ยูหละ”
“ยังเลย”
แล้วนางก็เปิดหนังสือ Lonely planet เล่มหนาขึ้นมา มีแผนที่ ระบุพิกัดที่พัก สถานีขนส่ง สถานที่ท่องเที่ยว ทุกอย่าง ซึ่งตัวเมืองเนี่ย ห่างจาก Bus station ประมาณ 10 กิโล ต้องต่อรถตุ๊กๆไปอีก เราทำเป็นขอถ่ายรูปแผนที่ในหนังสือเผื่อไว้ แต่ใจจริงๆคือ จะเกาะพวกยูไปนี่แหละ นี่ถ้าไม่ได้นาง ก็ไม่รู้จะพักไหนเหมือนกัน แถมมีคนแชร์ตุ๊กๆด้วย ดีไปอีก :)
บางทีก็คิดนะ ว่าเราควรจะพกไกด์บุคบ้าง แต่บางทีก็รู้สึกสนุกกว่า ตอนที่ไม่รู้อะไรเลย
ตุ๊กตุ๊กจอดส่งพวกเราหน้าตลาด หลวงน้ำทา
หลวงน้ำทาเป็นเมืองเล็กๆ มีไนท์มาเก็ตเล็กๆ ที่มีเป็ดย่างอร่อยมาก อยู่หน้าที่พักเรา เดินข้ามถนนมากินได้เลย
มีร้านอาหารไทย มีโรงแรมไทย มีบาร์ไทย นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่ส่วนใหญ่จะมา trekking ปีนเขากับ package ชาวดอย 2 วันบ้าง 3 วันบ้าง เป็นการกินอยู่อย่างชาวดอย อาข่า ไทลื้อ ไทดำ เดินป่า แคมปิ้ง กินข้าวจากกระบอกไม้ไผ่ อาบน้ำริมน้ำตก นอนโฮมสเตย์ ไรงี้
เราไม่ได้ทำหรอก
แต่เพื่อนเราทั้งสองมาเพื่อสิ่งนี้แหละ พวกนางนั่งเรือช้าจากหลวงพระบาง แล้วก็มาเดินป่าที่หลวงน้ำทานี่แหละ
ในระหว่างที่นั่งอยู่ในตลาด
มีชาวดอย 2 คน อาข่า ม้ง(เราก็ไม่รู้นะว่าเผ่าอะไร) แต่งชุดประจำเผ่า เดินมาขายกำไลข้อมือ สร้อย ต่างหู เราเลยเลือกๆดูของที่ละรึก กะจะซื้อกำไลข้อมือซักอันใส่สวยๆระหว่างการเดินทางครั้งนี้ ตอนแรกป้าเผ่านึงก็เอามาวางบนโต๊ะให้ดู 4-5 อัน อีกป้าไม่ยอมค่ะ เอาของเผ่าแกมาวางทับ และทั้งสองนางก็เกทับกันไปเรื่อยๆ พอเราหยิบอันไหนขึ้นมา อีกป้านึงก็จะยื่นของตัวเองมาข่ม ประมาณว่าของชั้นก็มีแบบนั้นนะ
เดี๋ยวๆ ค่ะเดี๋ยว อย่าทะเลาะกั๊นนนนนน ตอนนี้มีสร้อยข้อมือเต็มโต๊ะไปหมดแล้วววว
เราหยิบมาอันนึง ต่อราคามาได้แล้วจาก 5000กีบ เหลือ 2000กีบ จ่ายตังปุ๊ปนางก็ขอบคุณ กุมมือและอวยพรให้โชคดี ก่อนจะเดินจากไป แต่ อีกป้านึงก็ไม่ยอมกลับค่ะ! พร้อมยื่นสร้อยมือแบบเดียวกับที่ซื้อมะกี้มาให้ นางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขายไม่ได้เลยวันนี้
อ้าว งอนกุอี๊กกกกก แล้วทำไมกุต้องรู้สึกผิดด้วยเนี่ยย ก็เลยซื้ออีกอัน – -“ คือ เข้าใจปะ ว่าสร้อยข้อมือของทั้งสองป้า ไม่ได้ต่างกันเลย ป้าแค่ใส่คนละชุดกันอะ แล้วบอกว่านี่ของเผ่าป้า
เอาน่ะ คิดซะว่า เป็นของที่ระลึกประจำเผ่าแล้วกัน เพราะที่เชียงรายก็เพิ่งโดนกำไลข้อมือทองเหลืองของพี่กะเหรี่ยงมา 555
หลังจากทานข้าวกันเสร็จ เราสามคนก็ไปต่อกันที่ ร้านอาหาร+rooftop bar แห่งเดียวในเมืองนี้
สาวฝรั่งเศษบอกว่า
“เที่ยวเอเชียอะ ปลอดภัยกว่าเที่ยวยุโรปเยอะเลย”
“จริงหรอ? ยูเห็นข่าวฆ่ากันที่เกาะเต่ามั้ย”
“ก็เห็นนะ แต่ที่โน้นมีปล้น จี้ ฆาตรกรรมกันเป็นว่าเล่นเลย แบบไม่ออกข่าว”
“อุ่ย…”
อันความจริงแล้ว เราว่าที่ไหนๆ มันก็มีความอันตรายทั้งนั้นแหละ ที่ที่เค้าว่าปลอดภัยที่สุดในโลก ยังมีคนโดนหลอก และที่ที่อันตรายที่สุดในโลก ก็ยังมีคนรอด
เราบอกลาทั้งคู่ในคืนนี้ก่อนแยกย้ายกันกลับห้องนอน เพราะเราต้องออกเดินทางต่อพรุ่งนี้เช้า คงไมได้เจอกันอีกแล้ว
บายนะ คู่รักชาวฝรั่งเศษ น่าอิจฉาจุง
>.<
009
เช้าที่ต่างออกไป
รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ มันจะต้องเปลี่ยนนิสัยนอนดึกตื่นสายของตัวเองให้ได้ อยากปรับนาฬิกาชีวิตตัวเองใหม่
ให้เป็นเหมือนคนปกติเค้าบ้าง ตื่นตอนเช้า แล้วเข้านอนก่อนเที่ยงคืน หวังว่าทริปนี้จะทำได้นะ
6 โมงเช้าเราออกมาเดินเล่นถ่ายรูปรอบๆ เมือง ไปไหนได้ไม่ไกลหรอก เพราะฝนตกและหนาวมาก เลยกลับห้องเปลี่ยนชุดละออกไปสถานีขนส่ง
แปลกดีเนอะ ตอนอยู่กรุงเทพ ค่าแทกซี่ 100 บาทนี่คือราคาเบสิกมาก แต่พอมาอยู่นี่ตุ๊กตุ๊ก 100 บาท ต่อแทบเป็นแทบตาย ทุกบาททุกสตางค์คือสำคัญหมด คือแลกตังมาน้อย อันไหนจ่ายเงินไทยได้ก็จ่ายอะ ไปคนเดียวไม่ดีตรงที่ไม่มีคนหารนี่แหละ พอเค้าไม่ลดให้ก็จะไปโบกรถแทน
‘โบกรถอีกแล้วหรอวะคะ นี่คิดอะไรอยู่ หรือว่าเบลอจากการตื่นเช้า’
แต่แล้วตุ๊กๆคันเดิมก็ขับตามมา และลดราคาให้เหลือ 60 บาท แหะๆ จริงๆ แล้วการเดินไปโบกรถบางทีมันก็เป็นแผน
010
เพื่อนร่วมทาง
เราได้รถรอบ 8 โมงเช้า ตั้งใจจะไปหนองเขียวแต่มันไม่มีรถไป ถามคนขายตั๋วเค้าบอกว่าให้ขึ้นรถหลวงพระบาง แล้วไปลงระหว่างทางที่สามแยกปากมอง และจากปากมองค่อยหารถต่อไปหนองเขียวเองอีกที
ความหวังดีของฉัน
สภาพรถคันนี้ไม่ได้ต่างไปจากรถเมื่อวานเท่าไหร่ ทรงเดียวกัน สีเดียวกัน นั่งริมหน้าต่างที่เดิม ต่างกันก็แค่ คนข้างๆไม่เหมือนเดิม
ที่นั่งข้างเราวันนี้เป็นแม่ลูกคู่หนึ่ง เด็กสาวลาวตัวเล็กๆ อายุน่าจะประมาณ 3-4ขวบ หน้าตาจิ้มลิ้ม แต่ดิ้นสัส แกะโน้นแกะนี้ ถีบเก้าอี้ ปีนเบาะ โอยยย ตายๆๆๆ แม่จะเป็นลม เราก็ด้วย – -“
พอรถขับไปได้ซักพัก เริ่มเป็นทางขึ้นเขา พอโค้งเยอะ รถก็เหวี่ยง เด็กก็ดิ้น แม่เร่ิมอาการไม่ดี ก้มหัว กุมขมับ ไม่สนใจลูกละ ปล่อยมันดิ้น ซักหน่อย นางก็อ้วกจ้าาาาาาาาาาา ดีที่นางยังพกถุงพลาสติกมาด้วย เตรียมพร้อมมาดีนะคะ
ด้วยความหวังดี ก็เลยจะเอายาแก้เมารถให้นางกิน
“เอายาบ๊คะ ยาแก้เมารถ?”
แม่มองหน้าเรา
มองหน้ายา
แล้วมองหน้าเราอีกที
“บ่ๆๆ แพ้ท้อง”
อุ่ย ไปไม่เป็นเลยทีนี้ ความหวังดีของฉัน ถูกคุณแม่ปฏิเสธ T_T
ซึ่งมันก็ถูกแล้วนะ อาจจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า หรือว่าแพ้ท้องจริงๆไม่รู้ เป็นเรา เราก็คงไม่กล้ากินเหมือนกัน 555 ก็คงต้องปล่อยให้คุณแม่อ้วกต่อไป
ถุงอ้วกของคุณแม่ ถูกมัดปากถุงเบาๆแล้ววางไว้ที่พื้นรถ space ที่เท้าจึงไม่ปลอดภัยนัก หวั่นทุกโค้ง เสียวทุกแรงเหวี่ยง กลัวว่าถุงอ้วกมันจะแป๊ดออกมา ฮือๆ
ใส้ย่างซาวพัน
รถจอดแวะให้ทานข้าวระหว่างทาง ที่นี่มีร้านรวงเรียงเป็นพรื๊ดดดด แต่ขายปิ้งย่างส้มตำเหมือนกันหมดเลย ไม่ได้หิวมากมาย เลยลองกินแค่ใส้ย่างกับข้าวเหนียวก็พอ
“ใส้ย่าง พวงเท่าไหร่คะ”
“ซาวพันกีบจ้า”
…ซาวพัน???…. ซาวพันคืออะไรอะ? คงจะแปลว่า 2000 กีบมั้ง ถูกจังอะ
“เอามาเลยค่ะ ขอฮ้อนๆเนอะ”
แม่ค้าให้แจ่วมาคู่กับข้าวเหนียวด้วย ได้เป็นเซตเลยที่นี้ แต่ก็กินไม่หมดเพราะใส้ขมมากก เลยเรียกคิดเงิน
“ซาวเจ็ดพันกีบ”
เราเลยหยิบตังให้ไป 3000 กีบ ในหัวนี่ประมวลผลอย่างงงๆ ยังสรุปไม่ได้ว่ามันคือกี่บาท คือเราเป็นพวกเห็นตัวเลขแล้วจะเบลอๆ คิดไม่ทัน แม่ค้าบอก “บ่ๆ” แล้วหยิบเครื่องคิดเลขมากดให้ดู
27,000กีบ!!!!
หืมมมมม เลยกดเครื่องคิดเลขคูณเป็นเงินไทย 1=230กีบ มะกี้กินใส้ย่างชุดละ 120 บาทเชียวหรอ!!! ขอกลับไปกินต่อแแพร๊พพพพพ เข้าใจอย่างลึกซึ้งก็วันนี้ ว่าอาหารลาวไม่ได้ถูก ค่าครองชีพลาว ก็ไม่ได้ถูกนะ และยิ่งไปกว่านั้น คือเมิงควรจะคิดเลขได้เร็วกว่านี้ นี่อยากกลับไปกินเคเอฟซีชุดไก่โดนใจเลยทีเดียว ได้ทั้งเฟรนฟราย ทั้งไก่ ทั้งโค้ก ยังถูกกว่านี้อีก
‘ซาวแปลว่ายี่สิบ ไม่ได้แปลว่าสอง โอเคนะ เพราะฉะนั้น ซาวพัน คือ ยี่สิบพัน เท่ากับ 20,000 สองหมื่นค่ะ แล้วถ้า 2000 กีบมันก็แค่ 8 บาทค่ะเมิง จ่ายเท่านี้มันได้แค่ราคาเข้าห้องน้ำค่ะ คิดบ้างสิคะ (นี่ด่าตัวเอง)’
011
การนั่งรถที่ยาวนาน
กลับขึ้นมาบนรถ เดินทางกันต่อ จนหลับไปได้หนึ่งตื่น รู้สึกว่ารถบัสจอดนิ่งสนิท สงสัยรถจะจอดเข้าห้องน้ำ เลยโผล่หน้าออกไปดู โอ้ โหวว รถติดยาวเป็นตับเลยค่ะ หนีจากรถติดที่กรุงเทพ มาเจอรถติดที่ลาวอีกหรอวะ แต่ครั้งนี้ติดแบบต่างออกไป จากการถามเจ๊คุมรถแล้ว มันเกิดจากดินถล่มปิดถนน และเพิ่งถล่มไม่นานมานี้ด้วย เพราะมองเห็นภูเขาที่มีดินถล่มอยู่ลิบๆ
‘ดีแค่ไหนแล้ว ที่เราไม่ได้อยู่ตรงที่มันถล่มพอดี จะถือว่าเป็นโชคดีแล้วกันนะ’
ใช้เวลานานเลยทีเดียว เพราะกว่าจะรอรถตักดินมา กว่าจะเคลียทางเสร็จ เกือบ 3 ชั่วโมงบนรถบัสที่จอดนิ่งๆ กิจกรรมนอกจากนอน คือหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน และฟังเพลงคลอเสียงฝนไป ชิลมั้ยหละ ชีวิตที่นี่สมกับดินแดนแลนด์สไลท์สุดๆค่ะ (ไม่ใช่สโลวไลฟ์นะ) ครั้งนี้เลยได้ลองลงไปฉี่ด้วยวิถีลาวของจริง เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เฮอๆ
โชคดีอีกโชคนึงคือไส้ย่างที่กินไปเมื่อเช้า ไม่ทำให้ฉันท้องเสีย และมันช่วยชีวิตมากๆ ไม่งั้นคงจะหิวทุรนทุรายบนรถนี้ จากนั่งรถ 7 ชั่วโมง กลายเป็น 10 ชั่วโมงไปโดยปริยายยย
012
ปากมอง
เรามาถึงแยกปากมองตอน 6 โมงเย็นพอดี รถหลวงพระบางจอดส่งเราข้างทางคนเดียว แล้วก็ขับต่อออกไปเลย
ทำไมมันโหวงๆหละ…
รู้สึกเหมือนโดนทิ้ง
ปากมองเป็นชุมชนเล็กๆ ไม่ใช่เมือง ไม่ใช่ตำบล ไม่ใช่อำเภอ มันคือสามแยกอะเข้าใจปะ โดนทิ้งที่สามแยกเว้ยยย มันเป็นความกลัวปนๆกับความรู้สึกว่าต้องไม่กลัว อยู่ดีๆก้คิดถึงแม่ลูกที่นั่งข้างๆมาด้วยกันตั้ง 10 ชั่วโมง ถึงแม้แม่จะอ้วกใส่แล้วหลับ แต่ลูกนางก็ทำให้ชีวิตบนรถบัสไม่น่าเบื่อ หรือจริงๆฉันควรจะไปหลวงพระบางวะ แล้วทำตามแพลนที่วางไว้ตั้งแต่วันแรก
ได้แค่คิด เพราะมันกลับตัวไม่ทันแล้วค่ะ
T_T
เราต้องหารถต่อไปหนองเขียว เพราะหนองเขียวเป็นเมืองเล็กๆ เป็นเมืองท่องเที่ยวประมาณหนึ่ง ไม่ใช่สามแยกทางผ่านแบบนี้ เราเดินเข้าไปที่โต๊ะขายตั๋วในเพิงคล้าย บขส เพื่อหารถไปหนองเขียว ลุงบอกว่าเต็มแล้วว มาช้าไปนิด
“คันถัดไปจะมาอีก 3 ทุ่ม หนูรีบมั้ยหละ เหมารถไปก็ได้แสนห้ากีบ”
“ไม่รีบค่ะ”
เราตอบกลับอย่างไว แสนห้าบ้าไปแล้ว เพราะอีแลนสไลท์เลย เมิงงงง ภัยธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้ เฮ้ออ แต่พอมาคิดๆดูแล้ว ถ้ารถมา 3 ทุ่มใช้เวลา 1 ชั่วโมงเพื่อไปหนองเขียว เท่ากับจะถึงที่นั้นตอน 4 ทุ่ม แล้วยังต้องเดินหาที่พักอีก เราว่ามันอันตรายเกินไปหน่อย ก็เลยลองดูที่พักแถวนี้ก่อน
บริเวณที่นั่งรอรถบัส
เราเห็นผู้ชายคนนึงดูทรงแล้วเป็น backpacker แน่นอน เลยเข้าไปทำความรู้จัก เผื่อไปทางเดียวกัน จะได้มีที่พึ่งทางจิตใจบ้าง
“Hello, Where are you from?”
‘ประโยคเบสิกสัส บางทีก็คิดนะ ว่าควรครีเอทคำถามสำหรับทำความรู้จักได้แล้ว ทั้งทริปนี้ยังต้องเจออีกหลายคน ถ้าแกยังเริ่มด้วยประโยคเดิมๆ แกก็ต้องพูดแบบเดิมๆไปอีก เหนื่อยมั้ย กับการแนะนำตัวเอง ถามคำถามเดิม แล้วก็พูดเหมือนเดิม’ (คุยกับตัวเอง)
นีฟ เป็นคนอิสลาเอลตัวคนเดียว เพิ่งลงรถมาจากหนองเขียว และกำลังจะต่อรถไปหลวงน้ำทา ชะตากรรมเดียวกัน รถมา 3 ทุ่มเหมือนกัน แต่ไปคนละทางกับเรา
เรากับนีฟเดินเล่นวนไปวนมาฆ่าเวลาแถวๆนั้น ชวนไปไหนก็ไป ชวนกินอะไรก็กิน (นี่ก็ไปชวนนางกินเบียด้วย) แถมนางพาเดินหาที่พักอีก นีฟแนะนำว่า
“ไปหนองเขียวเหอะ ที่พักเยอะ hot shower and free wifi ก็มี ไม่ต้องกลัวนะ ตอนดึกๆก็ไปได้ ชัว เชื่อเรา”
นางคงมองเห็นความหวาดระแวงของเรา ถึงได้พูดตรงประเด็นขนาดนี้ เพราะจากที่เดินๆหาดู แถวนี้ก็ไม่มี wifi เลย แถมห้องพักก็หลอนๆด้วย อยากไลน์ไปบอกแม่ บอกใครๆไว้ เดี๋ยวเค้าว่าลูกหายสาบสูญ แล้วเค้าจะเป็นห่วงกัน ก็เลยอยู่รอรถกับนางเพื่อไปหนองเขียว
2 ทุ่ม 45 นาที รถบัสไปหลวงน้ำทามาก่อนเวลา นีฟจากเราไปเร็วกว่ากำหนด เหวออีกครั้งหนึ่ง เหมือนโดนทิ้งรอบที่สองของวัน T_T เรายืนส่งนางขึ้นรถจากไปสวยๆ โบกมือลาผ่านหน้าต่าง ยืนมองจนรถไปสุดสายตา พร้อมน้ำตาคลอเบ้า แม่งเหมือนในหนังเลยฉากนี้ ไม่ได้เศร้าเพราะต้องจากมันไปนะ แต่เพราะกลัวว่า แล้วต่อจากนี้กุจะรอดมั้ย
‘กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่หวายยยย T_T’ (เริ่มบ้าในระดับนึง ถึงกับร้องเพลงให้ตัวเองฟัง)
เรานั่งรอต่อจนสามทุ่ม เลยไปถามลุงที่เคาท์เตอร์ว่าเมื่อไหร่รถจะมา ลุงเลยหยิบโทรศัพท์โทรถามรถบัสให้ ได้ความว่า เจอดินถล่ม รถเลท น่าจะเข้ามาถึงปากมอง 4 ทุ่ม ดินแดนแลนสไลด์ของฉัน จะถล่มอะไรกันนักหนาวะเนี่ย ฝนก็ไม่ตกแรงเป็นพายุซักหน่อย (แต่ตกตลอดเวลา)
ถ้าต้องถึงหนองเขียวตอน 5 ทุ่มก็ไม่ไหวนะ ดึกเกินไป ถึงแม้จะมี WIFI ก็เหอะ เราจะไม่เสี่ยง แทนที่จะกลัวทุกคนเป็นห่วง จริงๆแล้วเราควรเป็นห่วงตัวเองมากกว่า ณ จุดนี้
ลุงบอกว่า
“พักที่นี่ก่อนแหละดีแล้ว ไปถึงโน้นก็ดึก เมืองโน้นเค้านอนกันหมดแล้วหละ ไม่มีที่พักที่ไหนเปิดหรอก ค่อยไปตอนเช้าดีกว่า มีรถออกตั้งแต่ 6 โมง”
เราเลยตัดสินใจนอนที่เกสเฮ้าส์หลังสถานี
‘ปากมองเกสเฮ้าส์’
เป็นห้องพัดลมเล็กๆ มีจิ้งจก มด แมลงสาบครบ ในราคา 60000 กีบ พออยู่ได้แหละ เราไม่กลัวเรื่องนั้น แต่กลัวเรื่องคนมากกว่า เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่ลืมล็อคทุกอย่างอย่างแน่นหนา มีกี่ล็อคก็ล็อคให้หมด ส่วนห้องน้ำ เราไม่ได้ใช้งานเท่าไหร่ เป็นน้ำจากตุ่มที่เย็นมากๆ ไม่อาบมันละกัน วันนี้อยู่แต่บนรถ ก็ไม่ได้สกปรกอะไรเท่าไหร่เนาะ 555
นอนหลับอย่างสบายใจ
013
ลุง
เสียงเคาะประตูดังแต่เช้ามืด ลืมตาขึ้นมาดูนาฬิกา ตี5ครึ่งกว่าๆ ฟ้ายังไม่สว่าง โอ้ยยยย หงุดหงิดมาก ใครมาเคาะตอนนี้ฟระ
มีเสียงชายแก่ตะโกนผ่านประตูมาว่า “หนองเขียว หนองเขียว”
ปรากฏว่าเป็นลุงขายตั๋ว ปลุกให้ไปขึ้นรถ รถจะมาแล้ว – -“ อาจจะเห็นว่าเราอยากไปจากเมืองนี้มากเมื่อวาน เลยมาปลุกเรียกให้ไปขึ้นรถรอบแรกแต่เช้าเลย
โอยยยยยย ขอบพระคุณมากค่ะลุง ไม่ได้บอกซักหน่อยว่าจะไปรอบเช้าอ่ะ คือกะว่าจะตื่นซัก 8 โมงค่อยไป แต่ลุงมาเรียกซะขนาดนี้ จะไม่ไปก็เกรงใจ ลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน ไม่อาบน้ำนะมันหนาว 555 แล้วก็รีบออกไปขึ้นรถ จ่ายเงินให้คนขับโดยตรง (25,000กีบ) ไม่ผ่านลุง
เอ๊ะ ก็เอะใจอยู่นิดนึงนะ
‘แล้วลุงได้อะไร อยู่ดึกตื่นเช้า ดูแลผู้โดยขนาดนั้น แอบสงสัยเฉยๆ หรือว่าลุงเป็นเจ้าของเกสเฮ้าส์วะ ไม่ใช่คนขายตั๋ว 555 โดนลุงหลอกใช่มั้ย
ไม่หรอกน่า ลุงเค้าแค่เป็นห่วงแหละ (เถียงกับตัวเอง)’
รถไปหนองเขียวครั้งนี้ มันไม่ใช่รถบัสหรือรถตู้หวะ แต่เป็นรถตุ๊กตุ๊ก แถมไม่มีคน มีแต่เรานั่งกะบะหลังคนเดียวกับของเต็มรถ นี่คือทำตัวเข้าข่ายความเสี่ยงวันแรกอีกแล้วป่าววะ ที่นั่งหลังรถแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จะพาไปไหนก็ได้อะ แต่ก็ขึ้นอยู่ดี ไม่งั้นจะให้ทำไง
พี่ตุ๊กตุ๊กจอดรับของระหว่างทางเรื่อยๆ รุ้สึกเหมือนเป็น Ms.Postman ยังไงไม่รู้หวะ ช่วยรับของบ้าง จัดของข้างหลังรถให้บ้าง จอดไปตามบ้าน ซักพักก็รับผุ้โดยสารหนุ่มลาวเพิ่มมาอีกคน มายกของช่วยกันค่ะ มาๆ 555 ก่อนจะยิงยาวเข้าเมืองหนองเขียว เป็นทางที่ทำให้มดลูกสะเทือนเลื่อนไปถึงตาตุ่มเลยทีเดียว หลุมพี่จะเยอะไปไหน นั่งตูดไม่ติดเบาะเลยค่ะ เค้าบอกว่าระยะทางแค่ 35 กิโล แต่ขับได้ไม่ถึง 20กม/ชม. มั้ง
014
หนองเขียว
เรามาถึงที่นี่ตอน 8โมง จริงๆควรจะใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง แต่ติดภารกิจส่งของตามบ้านอยู่ไง (มันใช่หน้าที่กุมั้ยยยยย เบ้ปาก มองบน บ่นเฮ้อ…) แล้วพี่ตุ๊กตุ๊กก็ส่งเราเป็นคนสุดท้าย เพราะเราบอกจะลงที่ท่าเรือ ซึ่งอยู่สุดสายปลายทางพอดี
เป้าหมายที่เราจะไปในครั้งนี้ คือเมืองงอย
เมืองงอย เป็นหมู่บ้านสงบๆ ท่ามกลางขุนเขาล้อมรอบ ไม่มีรถยนต์เข้าถึง หากจะไปต้องเดินทางด้วยเรือจากหนองเขียวเท่านั้น มันคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราอยากออกนอกเส้นทาง จากที่แพลนไว้ก่อนมา เหตุผลที่ทำให้เราทิ้งเรือช้าไปหลวงพระบาง แล้วมานั่งเรือล่องแม่น้ำอูแทน โบกรถเสี่ยงตาย กินใส้ย่างแสนแพง โรงแรมจิ้งหรีด นั่งรถฝ่าดินถล่ม ฟ้าทลาย 3 วัน 2 คืน เพื่อที่จะมาที่เมืองนี้
เราเดินไปที่ท่าเรือเพื่อซื้อตั๋วเรือไปเมืองงอย ได้มารอบ 11 โมง มีเวลาเดินเล่น ทำตัวเปื่อยๆที่หนองเขียว ได้อีก 2 ชั่วโมง (คือยังเปื่อยไม่พอหรือยังไง)
‘เฮ้อออ บอกแล้ววว ลุงแม่งปลุกเช้าเกินไป อดนอนยาวเลย’ (บ่นกับตัวเอง)
หนองเขียวค่อนข้างเจริญ เราวัดจากจำนวนบาร์ที่นั่น ไม่ใช่เจริญแบบคนเมืองนะ แต่เจริญแบบพยายามไม่เจริญ มีสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่เยอะ แต่จะออกแบบให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด
นีฟบอกมาไม่ผิดเพี้ยน ที่นี่มี free wifi เต็มไปหมด โฮสเทล เกสเฮ้าส์ ร้านอาหาร บาร์ คาราโอเกะ ไม่มีอดอยากแน่นอน ถ้ามาตั้งแต่เมื่อคืนก็ยังได้อะ เป็นเมืองริมแม่น้ำที่วิวดี อากาศดี สิ่งอำนวยความสะดวกครบ
เราเดินดูเมืองรอบๆ แล้วก็ไปหยุดที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง ที่มีคำว่า FREE WIFI ตัวใหญ่กว่าชื่อร้าน เพื่ออัพเดทสถานการณ์ให้คนที่บ้านฟัง หลังจากหายไป 1 วัน เขาก็ไม่ได้เป็นห่วงอะไรนะ ก็แค่ ส่งรูปคู่แม่กับเตาหมูกะทะ ปิ้งสามชั้นที่กำลังเหลืองๆกรอบๆ ที่กินเมื่อวานมาให้ แล้วบอกว่า อร่อยมากกกก
ฮือออ T_T เป็นภาพที่ทำร้ายจิตใจกันมากกกก หนูอยากกิน
015
นั่งเรือไปเมืองงอย
ระหว่างนั่งรอเรือมา เราแอบได้ยินฝรั่งคู่ข้างๆกำลังคุยกันเรื่องไปหลวงน้ำทาใช้เวลากี่ชั่วโมง คนนึงบอก 3 ชั่วโมง คนนึงบอก 5 ชั่วโมง
‘โหยยยย อยากจะเสือกขึ้นมาทันที มาถามเรานี่มา เพิ่งมาจากทางนั้นเลย 10 ชั่วโมงค่ะ อย่าให้พูดด’
(คิดในใจ)
เป็นจังหวะที่เหมาะ ที่จะเข้าไปทักทาย และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการมีเพื่อนร่วมเรือไปเมืองงอยในครั้งนี้ พวกนางมาจากหลวงพระบาง แวะเมืองงอย แล้วจะไปต่อหลวงน้ำทา ทำไมรู้สึกตัวเองเที่ยวย้อนสอนก็ไม่รู้เนอะ ทุกคนที่เจอนี่เดินทางตรงข้ามกับเราหมดเลย 555
เรือมาแล้ว พี่ขายตั๋วเรียกให้ขึ้นเรือ พร้อมกับประโยคเด็ด
“ขอปี้หน่อย”
อ้าวเห้ยยยย ขอปี้กันตรงนี้เลยหรอ กลางวันแสกๆแบบนี้อะนะพี่
คือ “ปี้” แปลว่า ตั๋วค่ะ ใครมาลาว ควรจะจำคำนี้ไว้ จะได้ไม่ตกใจแบบเรา 555 ขำๆเนอะ
ความสุขระหว่างทาง
ระหว่างที่นั่งอยู่บนเรือ โคตรรรรตื่นเต้นเลย เป็นวันแรกที่ฝนหยุดตก และมีแสงแดดอุ่นๆส่อง ท้องฟ้าที่เคยครึ่ม 2-3 วันที่ผ่านมา วันนี้เป็นสีฟ้าอะไรจะเป็นใจขนาดนี้
ฟรุ๊งฟริ๊งๆ
อย่าว่าอย่างโง้นอย่างงี้เลย จังหวะนี้เห็นอะไรก็สวยไปหมด กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ มันต้องผ่านอะไรมาเยอะ หมอกบนยอดเขามันโคตรสวยยย ต้นไม้ก็โคตรเขียว เห็นน้ำป่าไหลหลากจนแม่น้ำเป็นสีน้ำตาล เห็นเรือล่มข้างทาง ยังว่าสวยเลยค่ะ
ปล. จริงๆน้ำควรจะเป็นสีเขียว แต่เรามาฤดูน้ำหลาก มันเลยเป็นเช่นนี้แล 555
016
เมืองงอย
ใช้เวลา 1 ชั่วโมงบนเรือ จนถึงเมืองงอย คำนิยามของเมืองงอยที่เราอ่านมา เค้าบอกว่าเมืองนี้คือ วังเวียง 2 สำหรับคนรักสงบ และเสพย์ธรรมชาติ กิจกรรมที่เหมาะที่สุดสำหรับที่นี่คือการนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งวังเวียง 1 เป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย
ดูดิดู คนอย่างนี้ก็มี เดินทางมาไกล เพื่อมาอ่านหนังสือในหมู่บ้านกลางหุบเขาที่รถเข้าไม่ถึง
มีค่ะ คนนี้แหละ 5555
เราและเพื่อนร่วมทาง (แม็คกับอลิซ่า) ออกเดินหาที่พักภายหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีถนนหลักแค่เส้นเดียว เดินแป๊ปเดียวก็สุดหมู่บ้านละ ผิดคาดนิดหน่อยตรงที่ว่า ตอนแรกคิดว่าเมืองนี้ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่กลับกลายเป้นว่า มีป้าย Guesthouse / HOT SHOWER / FREE WIFI เต็มไปหมด ทั่วทุกเสา ทุกหน้าบ้าน ทุกปากซอย จิ้มเอาได้เลย
ราคาอยู่ที่ประมาณ 20000-60000กีบ
โคตรตอบโจทย์ทุกปัจจัยของ backpacker อย่างเรา แต่ถ้าหวังจะได้ที่พักดีๆมีทีวี ตู้เย็น ติดแอร์ ที่นี่คงไม่มีให้นะ
เราเดินเลือกที่พักอยู่ประมาณ 3-4 ที่ แล้วค่อยตัดสินใจ เอาห้องวิวริมแม่น้ำอูมาในราคา 30000 กีบ
‘Eco boat landing guesthouse’
ห้องใหญ่มาก แต่นอนคนเดียว ไม่น่าเชื่อ ราคาไทยคือ 150 บาทเองอะ ได้ห้องวิวอย่างนี้เลยยยยย ดี! คุ้ม!
อาบน้ำ พักผ่อน นอนเปล มีหนังสือก็หยิบมาอ่าน แต่ไม่ได้อ่านหรอก มัวแต่ส่องหนุ่มลาวที่กำลังซ้อมพายเรือจากวิวหน้าต่าง 555 ชอบที่นี่จริงๆหวะ ชิลดี เป็นช่วงปล่อยความคิดให้ลอยไปกับสายลม แต่ซักพักก็เริ่มหิว เลยเดินไปชวนแม็คกับอลิซ่าที่อยู่ห้องข้างๆ ไปเดินเล่นหาอะไรกินกัน
ร้านอาหารที่นี่เค้าเยอะค่ะไม่ต้องกลัวอดตาย ริมแม่น้ำอู เทควิวภูเขาและสายน้ำ ติดก็แต่มันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แถมแพงด้วย แพงกว่าค่าที่พักอีกค่ะ – -“
017
สำรวจหมู่บ้านเมืองงอย
หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อย เรากะว่าจะกลับห้องไปนั่งอ่านหนังสือริมระเบียงต่อ ตามคอนเสปของที่นี่เค้าหละ แต่แมกกับอลิซ่าชวนไปเดินเล่น ดูถ้ำดูน้ำตกหลังหมู่บ้านกัน เออ มันก็น่าสนใจกว่านอนอืดอยู่ห้องล่ะเนอะ
ที่นี่มืมอไซด์กับจักรยานให้เช่าด้วยนะ แต่พวกเราก็เลือกที่จะเดิน เพราะถามชาวบ้านมา เค้าบอกมันไม่ไกลหรอก เดินไปก็ได้ ประมาณ 2 กิโลกว่าเอง ถนนเป็นทางลูกรังแบบนี้ตลอด ขนานไปกับคลองเล็กๆ พอเดินเหงื่อออกหน่อย ก็แวะเข้าคลองไปล้างหน้า เอาขาจุ่มน้ำ แล้วก็เดินต่อ เดินๆพักๆ จนเริ่มสงสัยว่า 2 กิโลที่ชาวบ้านบอกมา หรือมันจะเป็น 2 กิโลแม้ววะ ทำไมมันไกลอย่างนี้
และแล้ว เราก็เดินมาถึง ปากถ้ำกาง เป็นจุดที่น้ำจากปากถ้ำ ไหลตัดผ่านถนนไปเชื่อมกับคลอง คือตอนเดิน คลองขนานไปทางด้านขวา ส่วนถ้ำจะอยู่ด้านซ้าย บริเวณนี้จะมีร้านอาหาร เพิงนั่งพัก และก๊งเหล้าชาวลาวกำลังดื่มกันอย่างเมามันส์ พวกพี่คึกกันแต่หัววันเลยเนาะ 555
(ต้องเขียนชื่อและเสียเงิน 10,000 กีบ สำหรับนักท่องเที่ยวจะจะเข้าถ้ำ หรือข้ามไปเมืองอื่นผ่านทางนี้)
ถ้ำกาง เมืองงอย
แม็คเล่าให้ฟังว่า ถ้ำกางแห่งนี้ เคยเป็นที่หลบภัยของชาวเมืองงอย สมัยที่อเมริกาทำสงครามแล้วทิ้งระเบิดใส่ที่นี่เป็นว่าเล่น จนชาวบ้านต้องหลบภัยไปใช้ชีวิตในถ้ำเป็นเวลานานหลายปี แล้วใช้เวลาตอนกลางคืนออกมาหาอาหาร ตกปลา ล่าสัตว์ แม็คเป็นคนชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ และการเมือง นางยังแอบถามเรื่องการเมืองในไทยกับเราเลย
เรื่องเล่าของแม็คทำให้การเดินสำรวจถ้ำสนุกขึ้น พอเข้าไปข้างในมันมืดมากจริงๆ สองคนนั้นพกไฟฉายติดหัว ส่วนเราถือไฟฉายไอโฟน หากจินตนาการตอนที่มีคนเข้ามาอาศัยอยู่ในถ้ำ เค้าใช้ชีวิตอยู่กันได้ยังไงวะ มืดมากๆ มันเป็นหิน สูง ชัน อันตราย ต้องปีนป่ายตลอดตอนอยู่ข้างใน เราว่ามันต้องมีคนร่วงตกไปบ้างแหละ เราปีนด้วยมือเดียว มือถือในมืออีกข้างก็จะร่วงเอา
มันดีหน่อยนะที่ใต้ถ้ำ มีแม่น้ำไหลผ่าน คนเค้าถึงอยู่กันได้ เพราะน้ำคือชีวิตจริงๆ
018
โรแมนติก
บริเวณรอบๆถ้ำ เป็นทุ่งนาสีเขียวไกลสุดลุกหูลุกตา ก็อาชีพหลักของเค้าหละ ทำนา เลี้ยงสัตว์ จับปลา มันเป็นการอยู่ร่วมกันของคนกับธรรมชาติที่ลงตัวนะ เราว่า เราไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างที่รู้สึกว่ามันทำลายกันเลย
โชคดีไปอีก ที่ได้เจอสายรุ้งด้วย :) บรรยากาศแบบนี้มันช่างโรแมนติกนัก
เดินเล่นวนไปวนมา หันไปหาเพื่อนอีกที
อุ่ย
แอบเดินไปกอดกันตอนไหนไม่รู้
เหงาขึ้นมาทันทีเลยค่ะ
…อิจ…
พอฟ้าเริ่มมืด พวกเราก็เดินกลับกัน ในระหว่างทาง มีรถไถขับผ่านมาพอดี เราเลยโบกรถขอติดไปด้วย
“ไปนำแน ไปนำแน”
(ไปด้วย ไปด้วย)
หวังว่าภาษาอีสานบ้านเกิดเรา น่าจะทำให้รู้สึกเป็นกันเองกับคนลาวมากขึ้น 555 รถไถจอดรับเราสามคน และขับไปต่อ บนรถนี้มีคนอยู่แล้ว 4 คน รวมพวกเราก็เป็น 7 คน ระหว่างทางมีต้องลงไปช่วยดันรถบ้าง เพราะมันเป็นเนิน บรรทุกหลายคนเกิน รถก็ไม่ไหวก็อะเนาะ 555
คือแบบ บางทีก็คิดนะ ว่าเดินเอาน่าจะเร็วกว่า
019
กลัว
หลังจากกลับถึงที่พัก พวกเราก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัว ห้องเราอยู่ริมสุด wifi ที่ห้องเบาบางมาก เลยต้องออกมานั่งตรงร้านอาหารของที่พัก
ร้านอาหารนี้ ติดกับถนนหลักของหมู่บ้าน เรานั่งตรงนี้จนฟ้ามืด สั่งข้าวสั่งเบียมาเรียบร้อยโรงแรมแมว มองดูชาวบ้านเดินผ่านไป ผ่านมา เพลินๆ ชอบนะ ช่วงเวลาเย็นๆ ถนนนี้ก็กลายเป็น เมืองงอย Community กันเลย คนออกมานั่งคุยกันหน้าบ้าน เลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน ผิงไฟ มีเด็กกระโดดยาง วิ่งเล่น ปั่นจักรยาน ไปซื้อผัก ส่วนรุ่นใหญ่ๆหน่อยก็นั่งเม้ามอยกัน หมากฮอส เตะบอล เปตองไป
เค้าบอกว่า ปกติแล้วที่นี่ต้องปั่นไฟใช้เอง และสามารถใช้ไฟได้ถึงแค่ 6โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม แต่ไฟฟ้าเพิ่งเข้าถึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แล้วก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น
ซักพัก มีหนุ่มลาวรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย
เอาแล้วววววว ส่งตาหวานมาแต่ไกลเลยค่ะ เหมือนจะเมา เราก็เริ่มหวั่นอยู่นิดนึง ไม่ใช่หวั่นไหวนะ คือหวั่นกลัวอะ มันแปลกๆ ก็คุยทักทายไปแหละ เหมือนทำความรู้จักเพื่อนไหม่ แต่ซักหน่อย นางเริ่มเข้ามาใกล้ๆ จากนั่งตรงข้าม ก็ย้ายมานั่งเก้าอี้ข้างๆ แล้วยังบอกอีกว่า แอบมองเราตอนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างห้องพักเมื่อตอนกลางวัน ตอนนั้นกำลังซ้อมพายเรือหางยาวอยู่ในแม่น้ำอูพอดี เป็นนักพายเรือตัวแทนหมู่บ้านอะ จะมีแข่งเร็วๆนี้แหละ แล้วตอนเย็นมะกี้ เห็นเราเดินผ่านหน้าไป ก็เลยเดินตาม จนมาเจออยู่นี่ไง
“ไปเล่นเปตองด้วยกันป่าว”
“หืมมมมมม????!!!!!??1″
แกรร นี่คือจีบรึป่าว 5555
แต่ตอนนั้นเราไม่ตลกด้วย ไม่เอาอะไม่เอา ยังไงก็ไม่ไป นางก็ยื้อจะให้ไปให้ได้ บอกว่าใกล้ๆเอง เรากลัวค่ะ เพราะเหมือนถูกตามมาแบบไม่รู้ตัวเลย กำลังจะหนีกลับห้องละ แม็คกับอลิซ่าก็มา หนุ่มลาวเลยขอตัวออกไปเล่นเปตอง
พร้อมเกริ่นก่อนจากไปว่า
“เจอกันที่ท่าเรือนะ” (สนามเปตองอยู่แถวท่าเรือ)
ต้องขอบคุณแม็คกับอลิซ่าที่เดินเข้ามาพอดี เรานั่งกินข้าว จิบเบียร์ คุยกันซักพัก แล้วก็กลับเข้าห้องนอน จริงๆที่นี่ก็มีบาร์นะ เยอะด้วย แต่อลิซ่าปวดหัวอยากนอนก่อน แม็คเลยอยู่ดูแลนาง แล้วคือจะให้เราเข้าบาร์คนเดียวก็ยังไงๆอยู่ เจอพี่ลาวมะกี้ยังหลอนไม่หายเลย ปล่อยให้นางรออยู่ที่ท่าเรือไปนะ เราก็ซื้อเบียร์ลาว 2 ขวดเข้าไปกินในห้องแทน
เรื่องราวมันเริ่มจากตรงนี้แหละ
เวลาตี 2
เราตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงกุกๆกักๆ รู้สึกว่าพื้นขยับ เหมือนมีใครเดินอยู่ข้างนอก ลืมตาขึ้นมา มันก็มืดมากๆ มองไม่เห็นอะไรเลย เห็นเพียงแค่แสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องประตูบานเฟี้ยม ที่ล็อคไว้ด้วยตะปูดอกเดียว แล้วประตูห้องกับประตูระเบียงคืออันเดียวกัน
ห้องเราอยู่ริมสุด มีใต้ถุนบ้านที่ตอนกลางวันเป็นที่หลบแดดของช่างก่อสร้าง สวนผักหน้าห้องเป็นที่จอดเรือด้วย ถ้าจะมีคนเข้ามา มันเข้ามาได้ง่ายมาก แล้วความคิดนึงก็ผุดเข้ามาในหัว เป็นไปได้มั้ยที่ไอ้หนุ่มลาวคนนั้น จะตามเข้ามาถึงห้อง เพราะเค้ารู้จักห้องเราแล้ว เค้ารู้ว่าเราอยู่คนเดียว เพราะเค้าแอบส่องเราเมื่อตอนกลางวัน หรืออาจจะเพราะมันเมา
หัวใจเราเต้นแรงมากๆ มันรู้สึกจริงๆ เว้ย ว่าพื้นเป็นเสียงคนเดิน เป็นก้าวๆใกล้เข้ามา แล้วสายตาเราดันไปสะดุดกับเงาๆ หนึ่ง เคลื่อนผ่านประตูบานเฟี้ยมนั้น
เชี่ยยยยยย!!!!
แม่งมีใครซักคนอยู่ตรงนั้นแน่ๆ ชัวๆๆๆๆ 100%
ถ้ามันจะตามมาถึงนี้นะ กับอิประตูบานเฟี้ยมที่เชื่อกลอนที่ล็อคไม่ได้ กุต้องไม่รอดแน่ๆ เสียงมันเหมือนอยู่ใกล้เรามากขึ้น มากขึ้น เหมือนมันเข้าห้องมาได้แล้ว พื้นสั่นๆ ใจเราก็เต้นแรงขึ้น แรงขึ้น เหมือนจะหลุดออกมา อดีนาลีนหลั่งรุนแรงมาก
เรารวบรวมความกล้าเฮือกสุดท้าย หาอาวุธที่พอจะคิดออกในเวลานั้น ค่อยๆเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ใต้หมอนขึ้นมา
เปิดไฟ!!!!
(อย่าเพิ่งตลกนะ คือคิดออกแค่นั้นจริงๆเว้ย ตอนแรกว่าจะเอาโทรศัพท์ปาหัวมันให้สุดแรง แต่ดีนะที่มีความฉลาดอยู่บ้าง ว่าต้องเปิดไฟก่อนแล้วค่อยปา เดี๋ยวปาไม่โดน)
ปรากฏว่า ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ
….ไม่มี…
….ไม่มีอะไร…..
….ไม่มีได้ไงวะ
ในเมื่อความรู้สึกมันชัดมากๆ ประตูล็อคด้วยตะปูดอกเดียวเหมือนเดิม ทุกอย่างอยู่ที่เดิม แต่เราไม่กล้าเปิดประตูออกไปดูข้างนอก
แต่ความที่มันไม่มีอะไร แม่งทำให้หลอนกว่าความมีอะไรอีก
เสียงที่ได้ยิน จริงๆแล้วมันคือเสียงอะไร?
เงาตะคุ้มๆตรงนั้น มันคือสิ่งมีชีวิตหรือปล่าว?
สิ่งที่เรารู้สึกมันคืออะไรกันแน่?
เพื่อความสบายใจของตัวเอง เราพิมพ์ไลน์ส่งให้พ่อแม่ เพื่อน รวมถึงโพสเฟสบุคแม่งเลย มันไม่มีเนตหรอก เนตมันมาไม่ถึงห้อง แต่พิมพ์ๆส่งไว้ก่อนอะ ตามวิถีมนุษย์ติดโซเชียล อย่างน้อยมันอาจจะมีประโยชน์ก็คราวนี้ เผื่อโดนจับตัวไป แล้วต้องเดินผ่านหน้าล๊อบบี้ มันจะได้ส่งอัตโนมัต (ตอนนั้นคิดได้แบบนี้ ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ เพรามันจะขึ้น fail ก่อนและต้องไปกด resent อีกครั้ง จริงจังมั้ยหละ ฮ่าๆๆๆ)
เราปิดไฟ แล้วตั้งใจนอนอีกครั้ง
เอาแล้วววว หลอนกว่าเดิมอีกค่ะที่นี่ จะเปิดไฟนอนก็กลัวว่าคนข้างนอกจะส่องเข้ามาข้างใน แล้วรู้ความเคลื่อนไหวของเรา คือแม่งจะมาคิดเยอะอะไรตอนนี้ ทำไมไม่ไปคิดเยอะตอนก่อนจะเลือกห้องวะคะ
หลับตาอีกครั้ง
ก็ยังรู้สึกว่า มีใครอีกคน อยู่ในห้องนี้
ยิ่งกว่านั้นคือรู้สึกว่า
ใครอีกคนนั้น
เคลื่อนมานอนอยู่ข้างๆแล้ว
เชี่ย
เขียนตอนนี้ยังขนลุกอยู่เลย
….
020
ตื่น
เราหลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว ตื่นมาตอน 6 โมงเช้า ตอนนี้สว่างแล้ว และรู้สึกปลอดภัยขึ้น พร้อมกับครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ถึงต้นสายปลายเหตุว่ามันคืออะไร ปกติเราเที่ยวคนเดียว นอนคนเดียวก็บ่อย ไม่เคยเจออะไรเลย เราคิดว่า ถ้าเราไม่เชื่อ เราจะไม่มีทางเห็น เราจะไม่มีทางเจอ มันต้องมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์
หรือ อาจจะเป็นเพราะเบียร์ลาว 2 ขวดที่ดื่มก่อนนอนก็เป็นได้ เราหลับตาอีกครั้งเพื่อลองฟังเสียงที่ได้ยิน เป็นไปได้ว่า เป็นเสียงพัดลมบนเพดานรุ่นเก่า และแรงสั่นของมันทำให้ห้องไม้อันบอบบางนี้สั่นไปด้วย ส่วนเงาตะคุ่มๆ ที่บานเฟี้ยมนั้น เราพบว่า มันคือ เปล ที่ห้อยอยู่หน้าประตูบามเฟี้ยม พอมันโดนลมจากพัดลม ทำให้เห็นเป็นเงาเคลื่อนไหวไปมา
ฉันสรุปกับตัวเองเบาๆว่า ‘ฉันเมาเบียร์ลาว’ มันทำให้วิจารณญานในการรับรู้เปลี่ยนไป แต่จิตนาการกลับพลุ้งพล่านมาก เพราะฉะนั้น น่าจะดีหากดื่มตอนคิดงานไม่ออก 555
เออเนอะ เป็นบทสรุปที่มีประโยชน์ดี แต่คงไม่กล้านอนคนเดียวไปอีกนาน
……..
เราลุกออกจากเตียง ออกไปหาอะไรกินก่อน เพราะแม็คกับอลิซ่ายังไม่ตื่น
เดินเล่นในหมู่บ้านตอนเช้าๆมันดีนะ อากาศเย็นๆ มีหมอกเบาๆบนยอดเขา เราตื่นเต้นที่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติแบบนี้ มองอีกมุมของคนที่เค้าอยู่ที่นี่มานาน เขาจะตื่นเต้นแบบเรามั้ย หรือเขาน่าจะตื่นเต้นที่ได้เห็นตึกสูงแทนภูเขา รถติดแทนสัตว์ป่า กับควันขโมงแทนหมอกมากกว่า
021
ลาละเมืองงอย
มีเรืออกจากเมืองงอยรอบเดียว คือเที่ยงตรง ไปถึงท่าเรือหนองเขียว แล้วต้องหารถต่อไปหลวงพระบาง ตอนแรกก็ว่าจะอยู่อีกวันแหละ แต่ใจไม่กล้าพอ 555
ณ ท่าเรือหนองเขียว
พี่คนขายปี้ไปเมืองงอยที่ท่าเรือเมื่อวานเข้ามาทักทาย ว่าเมืองงอยเป็นยังไงบ้าง สนุกมั้ย เที่ยวหนองเขียวรึยัง มีถ้ำกับน้ำตกด้วย ไปมั้ย เดี๋ยวพาไป เลยทำเนียน ถามว่าจะไป bus station อะ ไปยังไง นางเลยแว๊นมอไซด์ไปส่งฟรีๆ ไม่เอาตังค์
หรือคือจริงๆ เค้าแค่สงสารก็ไม่รู้ เพราะรถตุ๊กตุ๊กที่จะไปสถานีรถบัสมันเต็ม นักท่องเที่ยวกรุ๊ปใหญ่เหมาไปหมด เลยไม่มีวิธีอื่นที่จะไปได้แล้ว คิวรถก็ใกล้จะออกแล้วด้วย ขอบคุณน้ำใจพี่ลาวมากค่ะ
ถามว่ากลัวมั้ยตอนนั้น ก็ไม่เท่าไหร่นะ เราก็เพิ่งมากลัวตอนที่เราเอามาเล่าให้ฟังนี่แหละ ทำไมตอนนั้นกล้าวะ ถ้าไม่ถามก็คงไม่กลัว 555
จริงๆก็แอบอยากเปลี่ยนแผนไปเที่ยวหนองเขียวด้วยซ้ำ แต่ใจนึงคือไปหลวงพระบางเลยดีกว่า นี่มันก็ออกนอกแพลนมามากมายหลายวันแล้ว
เราได้รถไปหลวงพระบางรอบบ่ายโมงพอดี ซื้อปี้คนสุดท้ายทันเวลา เป็นรถโลคอลแบบเดิม กลับมาสู่วิถีรถประจำทางอีกครั้งค่ะ
แล้วเพื่อนร่วมทางเราเป็นแม่และเด็กอีกตามเคย ได้ขึ้นรถกับเด็กตลอดเลย แต่มันก็มีอะไรให้ประหลาดใจได้ทุกครั้ง
รถรอบนี้เค้าจะให้ถอดรองเท้าก่อนขึ้นรถค่ะ โดยแจกถุงให้คนละใบ เอาไปใส่รองเท้าแล้วก็เก็บไว้กับตัว ด้วยความที่เราถอดรองเท้า แล้วบนรถจะมีกระสอบ ข้าวสาร กะละมัง กะทะ เยอะมาก วางอยู่บนพื้นรถ เราจำเป็นต้องเหยียบไปบนอะไรซักอย่าง เพื่อวางเท้า ระหว่างที่นั่งๆไปอยู่นั้น หลับๆตื่นๆ เหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา รถตกหลุม ทันใดนั้นกระสอบบนพื้นที่เราเหยียบอยู่
มันขยับได้เว้ยย!!!
เอ่าแล้ววววว
เราเอาเท้าเตะรอบๆ กระสอบนั้น ดูว่ามันคืออะไร เพื่อพิสูจน์ว่าที่มันขยับ เราไม่ได้คิดไปเอง รุ้สึกมันนิ่มๆ นะ ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตแน่ๆ แต่ตอนนี้มันไม่ขยับแล้ว เรามองหน้าแม่เด็กที่นั่งข้างๆที่เหยียบกระสอบเดียวกัน คิดว่าน่าจะเป็นกระสอบของนาง แล้วถามนางว่า
“อะไรอยู่ในกระสอบ”
นางบอกสั้นๆว่า
“อ๋อ ไก่”
เดี๋ยวนะ!!! คือ เอาไก่ใส่กระสอบขึ้นรถแล้วเอามาวางไว้ตรงนี้ แล้วนิ่งๆไปเนี่ย มันตายแล้วรึยัง เราทำมันตายรึป่าววะเนี่ยยย
แกรร รอบนี้ชั้นมีเพื่อนร่วมทางเป็นไก่รองทีนว่ะค่ะ
เรื่องลาวของฉันกับกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ มาถึงครึ่งทางแล้ว เราขอแบ่งเป็น 2 พาทเนอะ คือ
ตอนที่ 1 หลวงน้ำทา ปากมอง หนองเขียว เมืองงอย
ตอนที่ 2 หลวงพระบาง วังเวียง เวียงจันทร์
อ่านต่อตอนถัดไป ได้ที่นี่เลยค่า
https://www.highondreams.com/travel/enroutetolaos02/