“อยากพักหัวใจ
อยากนั่งรถไฟ
อยากไปเชียงดาว“
..
นั่งรถไฟไปเชียงดาวหรอ?
ไม่มีหรอกเมิงงงง รถไฟไปเชียงดาวอะ
มันสุดแค่เชียงใหม่เท่านั้นแหละ
การนั่งรถไฟจากกรุงเทพครั้งนี้
ฉันต้องการจะไปเชียงดาวจริงๆนะ
แต่อยากนั่งรถไฟด้วย แค่นั้นเอง
เที่ยวคนเดียว อยากทำอะไรก็ทำเถอะ
.
.
พอลงสถานีรถไฟเชียงใหม่ ก็นั่งรถแดงไปขนส่ง
จากขนส่งก็ต่อรถบัสไปเชียงดาวอีก 2 ชั่วโมง
พอถึง เชียงดาว (ลงหน้าโลตัส)
ต้องหาวิธีไปเกสเฮ้าส์ระยะทางอีก 5 กิโล
อะไรมันจะเดินทางยาวนานขนาดนี้วะคะ
การเดินทาง 17 ชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดก็มาถึง
บ้านอชิเกสเฮ้าส์ จะเป็นที่พักกายและพักใจ
ตลอด 4 วันที่ เชียงดาว
การนั่งรถไฟครั้งนี้ก็ไม่ได้แย่มากกนักหรอก ขึ้นรอบ 6 โมงเย็นจากกรุงเทพ มาถึงเชียงใหม่ 7 โมงเช้า ไม่นานเล้ยยยยย
เชียงดาว
ทริปนี้ เรามาคนเดียว ตั้งใจมาพักหัวใจ หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทำชีวิตเราเป๋ เลยอยากหนีออกมาจากตรงนั้น ก็รู้นะ ว่าเราหนีความเศร้าไม่ได้หรอก เพราะความเศร้ามันไม่ได้อยู่ที่สถานที่ แต่มันอยู่ที่ใจเราเอง แค่หวังว่าออกเดินทาง แล้วอะไรๆมันน่าจะดีขึ้น
มาอยู่ภูเขา มาอยู่ใกล้ดวงดาว ไม่รู้ว่ามันจะเยียวยาเราได้มั้ย หรือว่าทำให้เหงากว่าเดิม
ดอยหลวงเชียงดาว ที่ที่ใครก็มาเดินป่ากัน ส่วนเราขอบาย…. เหนื่อยใจพอละ เหนื่อยกายด้วย ไม่เอาอะ
มาอยู่ทำไมตั้ง 4 วัน
นี่ก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน
มาดูภูเขางี้
หรือมานั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้งี้
อยู่เหงาๆ คุยกับต้นไม้ ใบหญ้า ท้องฟ้า และหมาวัด
อินดี้ไปมั้ยมึง
จริงๆ เอางานมาทำนอกสถานที่ด้วย วีถีฟรีแล้น วันหยุดไม่มี เศร้าแค่ไหน อยากพักแค่ไหน ก็ต้องแบกคอมไปทำงานด้วย ส่งไม่ทันอาจได้กินแกลบ
ได้สัมผัสการพักผ่อนจริงๆ ก็ตอนเรียกหมอนวดมานวดที่ระเบียงบ้านนี่แหละ หลังขดหลังแข็งทำงานมาก ต้องนวดให้กล้ามเนื้อคลายตัว ผ่อนคลายหายปวดเมื่อย หมอนวดขับมอไซด์มาไกลหลายกิโล จะนวดแค่ 1 ชั่วโมงก็เกรงใจป้า อะอะ 2 ชั่วโมงก็ได้ สุดท้ายกุก็หลับ…
แล้วเรื่องของกินอะ มีอะไรกิน ออกไปกินยังไง
ช้อยที่ 1
กินกล้วยฟรีที่เกสเฮ้าส์นั่นแหละ ทุกๆเช้าจะมีกล้วย ขนมปัง บางวันก็ข้าวต้ม ให้กินทุกวัน
ช้อยที่ 2
ติดรถมอไซด์พ่อขจร (พ่อบ้านของบ้านอชิเกสเฮ้าส์) ออกไปตลาดในเมืองด้วย
ณ ถนนคนเดินเชียงดาว
มาภูเขา อยากกินปลาหมึก อะจะ…นี่คือปลาหมึกย่างในเมืองที่ไกลทะเลสุดในประเทศไทย รึปล่าว? สตรอเบอรี่ที่นี่ก็ถูกมากกกกกกก อยากเหมากลับกรุงเทพด้วย แต่กลัวมันจะเน่าก่อน
ช้อยที่ 3
โทรสั่งอาหารเชียงดาวเดลิเวอรี่ มีอาหารเหนือเซตขันโตก / ชาบู / หมูกระทะ / ปิ้งย่างหมาล่า มากินหน้าบ้าน
เราสั่งชาบู ชุด 500 บาท จริงๆชาบูหม้อนี้มันกินได้หลายคนอะ เราก็ขอแจมกับพี่ออย (เจ้าของเกสเฮ้าส์)และเพื่อนๆนาง พี่ออยทำงานประจำที่กรุงเทพ นั่งรถทัวร์มาที่นี่ทุกเสาร์อาทิตย์ ละถ้าได้เจอนาง นางจะพาเที่ยว โน้นนี่นั่นเยอะแยะ
เอาจริงๆ โคตรนับถือเลยนะ แค่เราเดินทางมาที่นี่ครั้งเดียวก็ว่ายากแล้ว ไกลโพดดด แต่นี่พี่แกเดินทางทุกอาทิตย์มาเป็นปีๆแล้ว ก็อย่างว่าแหละ ถ้าเราได้ทำอะไรที่เรารัก ละมีความสุขกับมัน มันจะไม่เหนื่อยเลย การมาที่นี่มันอาจเป็นวันพักผ่อนสุดๆของพี่ออยเหมือนกันก็ได้
อีกหนึ่งสถานที่กินและแฮงเอ้าท์ในช่วงที่เรามา คือมันมีงาน Shambala in your heart พอดีไง แหล่งรวมชาวฮิปปี้ ผู้รักธรรมชาติและอิสรภาพ
งานจัดประมาณ 1 อาทิตย์ สามารถมาตั้งแคมป์ เอาเต้นท์ เอาอาหารมาทำกินได้ จ่ายค่าเข้างาน 300 ถ้าไม่ออกไปไหนก็กินอยู่นอนในงานนั้นแหละ ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแล้ว
ตอนเช้าและเย็นมีกิจกรรมโยคะ
มีอาหาร ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ใส้กรอก คาเฟ่ ชา กาแฟ และเบียร์
คนเยอะอยู่นะ เอาจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติหัวทอง ญี่ปุ่นก็เยอะอยู่ เพราะเป็นคนจัดตั้งงานนี้ขึ้นมา
ชัมบาลา ให้ความหมายจริงตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาคือ สังคมหรือเมืองในอุดมคติ ดินแดนแห่งสันติสุข
เออ ฉันก็หวังว่าฉันจะได้รับการบำบัดจิตใจ ในดินแดนแห่งสันติสุขนี้แหละ
ตกเย็นมาหน่อย คนก็จะออกมาเต้นกัน วันที่เราไปเป็น African Dance สนุกดี
เรามีโอกาสได้คุยกับคนบางในงาน ค่อนข้างเปิดประสบการณ์ใหม่อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะแนวความคิดแบบฮิปปี้ ที่ไม่ได้หมายถึงการแต่งตัวสไตล์หนึ่ง แต่มันเหมือนเป็นการหลุดพ้นจากพันธนาการบางอย่าง ทั้งทางสังคม ครอบครัว หรือคนรัก ชีวิตที่เรียบง่าย และไม่เอาตัวเองไปผูกไว้กับใคร อยากทำอะไรก็ทำ และที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นด้วย
เขาไม่เรียกตัวเองว่าฮิปปี้หรอก เรานี่แหละ เอาคำนี้ไปครอบเขาเอง เขาเรียกตัวเองว่า Human
เราถามว่าเป็นคนที่ไหน? เขาบอกว่าเป็นคนทุกที่ (นี่ไม่ใช่มุกที่เราๆเล่นกันนะ) เราเป็นประชากรคนหนึ่งบนโลก และโลกใบนี้ก็คือบ้านของเค้า จะเป็นคนที่ไหนมันก็ไม่สำคัญหรอก เอ้าา
…(เขาบอกนัยๆว่าเราเสือกรึปล่าวนะ)….
พอตกดึกมา มีวงดนตรีทั้งไทย เรคเก้ ไซคี โวคอลล้วน หลากหลายมาก บางวงก็น่าสนใจ แต่บางวงก็ฟังไม่ได้จริงๆ ละมีโชว์ควงกระบองไฟด้วย จนถึงเที่ยงคืนทางสถานที่ เค้าก็ตัดไฟแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่จุดเทียนสนทนากันต่อ
ถึงเวลาแล้ว เราก็คงต้องกลับ
เออ ลืมบอกว่า เรายืมมอไซด์จากเกสเฮาส์มา พร้อมกับเพื่อนฝรั่งเที่ยวคนเดียว เจอที่พักบ้านอชิเหมือนกัน คือไม่กล้าไปงานคนเดียวไง เลยหาแนวร่วม นางมาเล่นโยคะตอนเย็น ส่วนเราอยากมากินเบียร์ตอนดึก ลากกันมาแล้ว ก็ต้องลากกันกลับบ้านด้วยค่ะ
ทริปพักใจ 4 วัน 3 คืนนี้ ถามว่าช่วยอะไรจิตใจได้มั้ย มันก็ทำให้เราใจเย็นขึ้นนะ จากอากาศเย็นๆของที่นี่นี่แหละ บางอย่างถ้าเราไป Base your happiness on someone else เมื่อไหร่ เราจะคาดหวังกับคนๆนั้น แล้วถ้าเค้าไม่ได้ดังใจ เราก็จะไม่มีความสุข จิตใจคน(อื่น)อะ เราไม่มีทางควบคุมได้หรอก แต่ถ้าเรามา Base on yourself อะ จะทุกข์ จะสุข ยังไง มันก็ใจเรา ทุกข์ก็เพราะความคิดตัวเอง ถ้าจะสุขก็สุขจากความคิดตัวเอง ควบคุมได้ ไม่ต้องคาดหวัง
ตอนนี้อยากกลับบ้านละ มีความ “คิดถึง” ขึ้นมาแทนที่
บ๊ายบายพี่ออย บ๊ายบายโซเฟีย
ขากลับนั่งรถบัสจากขนส่งเชียงดาวไปสถานีรถไฟเชียงใหม่ คนเยอะเชียว เพราะงาน Shambala จบวันสุดท้ายแล้ว รถเต็มๆตลอด
สุดท้ายจริงๆ คือแม่งตกรถไฟ กลับเชียงใหม่ไม่ทันรอบ 6 โมงเย็น รถไฟออกไปเมื่อ 5 นาทีที่แล้ว เลยอยู่ต่อเชียงใหม่อีก 2 วันจ้าาา เซ็งงงต่อไป
และนี้คือ “เชียงดาว” ในแบบของเรา
แล้วเจอกันใหม่ ทริปหน้าเด้อ
ต้นอ้อ