KYUSHU, take me to the sea :) คิวชู 9 วันกับคนแปลกหน้า 1 คน

เรื่องมันเกิดจากตั๋วเครื่องบินโปรโมชั่นลดราคา Jetstar
กรุงเทพ-ฟูกุโอกะ ภูมิภาค คิวชู ไปกลับเพียงแค่ 5300 บาทเท่านั้น

มือลั่น!!!!

โอ้ยๆๆ

ปุ๊ปปั๊ปรู้ตัวอีกทีก็เสียตังไปเรียบร้อยแล้ว
555
เราชวนเพื่อน ชวนทุกคนที่รู้จัก แต่มันก็สายเกินไป
ไม่มีตั๋วราคานี้แล้ว ก็เลยไม่มีคนอยากไปด้วย
การบุกเดียวเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกจึงเริ่มขึ้น

 

แต่เดี๋ยวก่อน
ครั้งที่แล้วไปภูเก็ต ไปรู้จักเพื่อนแคนาดาคนนึง
‘เซบาสเตียน’ ดูเหมือนนางเป็นแบกแพคเกอร์ฝรั่งทั่วๆไปนี่แหละ
เป็นคนพูดมาก บ้าๆบอๆ หล่อ กล้า หน้าด้าน แต่ถูกชะตา
เราเจอกันแค่วันเดียวที่โฮสเทลแต่รู้สึกเหมือนรู้จักกันมาหลายปี
(เราเคยเขียนเรื่องภูเก็ตไว้ ลองอ่านดูได้ในลิงค์
http://pantip.com/topic/33711627)

เวลาผ่านไป 1 เดือน
เราทักเฟสไปเล่นๆว่า

ME : “จะกลับมาไทยอีกป่าววะ”

SEB : “กลับวันที่ 16 ไปต่อเครื่องกลับแคนาดาอะ”

ME : “โอวว แย่จัง วันที่ 16 ฉันต้องไปญี่ปุ่นหละ คงไม่ได้เจอกันละ”

SEB : “ไปทำไร?”

ME : “เที่ยวดิ ไป คิวชู ไปนั่งรถไฟที่เร็วที่สุดในโลก(มั้ย?)
         ดูปล่องภูเขาไฟ  แช่ออนเซน กับเซิร์ฟทะเลญี่ปุ่น”

SEB : “เห้ยย! ไปด้วยดิ”

ME : “หืมมม…”

SEB : “กำลังว่าจะแคนเซิลตั๋วแคนาดา
           แล้วไปเวียดนามกับแคมโบเดียอะ
แต่ตอนนี้ไอเดียแจแปนก็ไม่เลว”

ME : “….”

“ถ้าเมิงจะตัดใจทิ้งตั๋วแคนาดาได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
ก็แล้วแต่เมิงเลยค่ะ จะไปไม่ไป ยังไงฉันก็จองตั๋วไปแล้ว…”

นั่นแหละ ละนางก็จองตั๋วปุ๊ปปั๊บทันทีในวันนั้น
ทิ้งตั๋วกลับแคนาดาไป
แบบว่านางไปเพราะทะเลเลย
หลงรักทะเลมากกกก พอดีที่บ้านนางไม่มีทะเลไง

001_kyushu

และแล้วฉันก็ได้เพื่อนไป คิวชู ญี่ปุ่นแบบงงๆ
ก่อนวันเดินทาง 1 สัปดาห์ โฮะๆๆ

SEB: “are you dangerous?”

ME : “เดี๋ยว! ประโยคนี้กุต้องเป็นคนถามป่าววะคะ?”

เราไปกันแบบเพื่อนจริงๆนะ อย่าคิดไปไกล
ทุกคนคงเริ่มจะคิดแล้วใช่มั้ย
ชายหญิงไปด้วยกัน ต้องได้กันแน่ๆ
อยากบอกตรงนี้ว่า “ไม่เลย”
ไม่ได้มีสัมพันชู้สาวแต่อย่างใด
จากตอนแรกไม่ค่อยสนิท
ตอนนี้สนิทมากแล้ว ก็เลยเขียนกวนทีนกันได้ค่ะ

ปล. ทริปนี้เป็นการบ่นล้วนๆ ต้องการภาษาไทยมาก พูดอังกฤษไม่เก่ง เถียงฮีไม่ทัน
ทำให้ต้องมาเขียนระบายดังเช่นนี้แล ไม่ใช่ไกด์บุคค่ะ 555

002_kyushu


ไม่ได้รู้จักกันขนาดนั้น ไปแล้วมันจะสนุกมั๊ยวะ

มันจะต้องคอยมาแคร์ มาคอยรอกันงี้ป่าววะ
ถ้าเราอยากไปที่นี่ มันอยากไปที่นั่นจะทำไงวะ
นี่เรากลัวเรื่องไปเที่ยวไม่สนุก
มากกว่ากลัวการที่ต้องใช้ชีวิตกับผู้ชายแปลกหน้าทั้งอาทิตย์อีกนะ

ถึงเราจะไม่ค่อยกลัว แต่ก็ต้องระวังอยู่นิดนึง
ทุกอย่างต้องตามแพลนเรา ต้องตามใจเรานะเว่ย
ชั้นให้แกมาด้วยก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เวลาหลงทางไปในที่เปลี่ยวๆ
จะเรียกว่าบอดี้การ์ดก็คงจะดูดีเกินไปหน่อย
เรียกว่าพาหมาไปเดินเล่นละกัน
(ล้อเล่นๆนะ เดี๋ยวกูเกิ้ลทรานสเลตแล้วฉันจะซวย)

ก็แกไม่รู้อะไรเลยไง คิวชูอยู่ตรงไหนยังไม่รู้เลย เฮ้ออ

เราตกลงกันว่า ถ้าอยากแยกไปไหน
อยากทำอะไรคนเดียวก็บอกเราด้วยนะ
ตามสบายเลย เราไม่ซีเรียส

แต่หลังจากรู้ว่ามีคนไปด้วย เราก็หยุดแพลนทุกอย่างไปเลย
กะไปตายเอาดาบหน้า (ไม่หรอก จริงๆขี้เกียจละ)

+ ไม่ได้จองที่พัก
+ ไม่ได้ใช้ pocket wifi หรือ Sim Internet
+ มีแพลนคร่าวๆ ถึงคร่าวมากๆ
+ จะนอนแต่โฮสเทลเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
+ ที่ทำอย่างเดียวก่อนไป คือ “ทำประกัน” (กันตายไว้หน่อยนึงอะนะ 555)

มีเวลา 8 วัน เราเลือกเฉพาะเมืองที่เราสนใจจะไป เรียงตามนี้ วิ่งไปรอบๆเกาะเลย

FUKUOKA>KUMAMOTO>ASO>KAGOSHIMA>
MIYAZAKI>OITA>FUKUOKA>BANGKOK

โซนที่เราไปเป็นเกาะทางภาคใต้ของญี่ปุ่น เรียกว่า KYUSHU
เราเลือกซื้อ JR PASS ALL KYUSHU 5 วัน (17400Y)
เพราะตั้งใจจะไปตะลอนทะเลฝั่งแปซิฟิก

เป้าหมายที่เหมือนกันของเราสองคนคือทะเล :)

003_kyushu

ค่าเงินตอนนั้นได้ประมาณ 100Y ~ 27B
วิธีคิดง่ายๆ คือเอาเงินเยน คูณ 0.27 ก็จะได้ราคาไทยค่ะ ช่วงนี้ค่าเงินถูก คุ้มๆ

ช่วงเวลาที่ไป 16-23 มิถุนายน 2015


เราเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ

เซบาสเตียนเพิ่งบินมาจากบาหลี หลังจากไปอยู่ที่โน้น 1 เดือน
แล้วก็รอต่อเครื่องไปฟูกุโอกะในวันนั้นเลย

เห้ย

มันก็รู้สึกแปลกๆนะ
นี่มันเป็นการเจอกันครั้งที่ 2 เองนะเว่ย
คือกุต้องไปใช้ชีวิตกับคนๆนี้ใช่มั้ย
กิน นอน เที่ยว เยี่ยว ตด 8 วัน
ครั้งแรกที่ญี่ปุ่น กับ ฝรั่งติ๊งต๊อง

004_kyushu

การผ่าน ตม เป็นไปอย่างง่ายดาย
ถึงเราไม่ได้จองอะไรไว้เลย ไม่ได้หมายความว่าเราไม่แพลนนะ
เราปริ๊นลายแทงมาทุกเมืองที่เราจะไป
แต่แค่ไม่ได้ใช้มันแค่นั้นเอง

005_kyushu


ฟูกุโอกะ

เป็นเมืองที่ใหญ่และเจริญสุดในเกาะคิวชู
ถ้าเทียบโตเกียวเป็นกรุงเทพ ฟูกุโอกะเราว่าคือภูเก็ต
อยู๋ภาคใต้ เป็นเมืองเจริญที่มีวิวภูเขาล้อมรอบ ติดทะเลด้วย
บรรยากาศดี แต่ละร้านมีสไตล์ ยังกะซอยนิมมาน
เป็นเมืองชิกๆของคนที่อยากไกลความเจริญ
แต่ก็ยังมีความสะดวกสบายครบครัน

ในวันแรกที่ไปถึง
หลังจากเดิน walk in เข้าโฮสเทลที่เล็งไว้
คือ KHAOSAN ANNEX HOSTEL (2800Y)
งีบหลับซักแป๊ป
แล้วก็ใช้เวลาไปกับการปั่นจักรยานรอบเมืองทั้งวัน ทั้งคืน (เช่าจากโฮสเทล 600Y)
อากาศดีมาก หมอกนิดๆ ออกเย็นๆหน่อย ประมาณ 23-25 องศา
เซบาสบอกเมืองนี่ชื่อตลกดี
ใครจะอ่านว่าอะไรมันไม่รู้ แต่มันจะอ่านว่า

FUKUOKA = FUK U OK KA

ข่าาาาาา เอาที่สบายใจค่ะ


ถ้ามากับแฟนนะ

คงจะเป็นอะไรที่ฟินมวากกก
ณ สวนสาธารณะกลางเมืองใหญ่
บรรยากาศมันได้
ปั่นจักรยานในสวน
นั่งเล่นริมน้ำ
นอนกลางสนามหญ้า
ห่อข้าวกล่องมาปิกนิกชมวิว
สวี๊ทสวีท

แต่….

เซบาสคะ
คือเมิงก็รีบปั่นป๊ายยย

รู้ว่าเป็นผู้ชาย
รู้ว่าแรงเยอะ
รู้ว่าไฮเปอร์
พ่อนักกีฬาเอ็กสตรีมค่าาา
แต่อยากถามว่ารู้จักคำว่าชิลมั้ย ชิลๆหนะ
Chillax อะ
Slowlife อะ
ชิกๆ คูลๆ อะ

โอ้ยยย
รอด้วยยยยยยเว่ยยย


เอาจริงๆ มีฮีไปด้วยมันก็ดีนะ

ฮีเป็นฝรั่งไง แล้วแถบนั้นเราก็แทบจะไม่เจอฝรั่งเลย
เลยรู้สึกเหมือนคนที่นั่นจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ได้รับความช่วยเหลือโดยไม่ต้องแอ๊บยกแผนที่ขึ้นมาให้เค้ารู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยว
คือยืนอยู่เฉยๆก็มาถามแล้วว่าให้ช่วยอะไรมั้ย จะไปไหน
แถมยังมาขอถ่ายรูปด้วย
แหม่ รู้สึกยังกะเป็นดารา :P
(ฮีแอบหน้าเหมือน ไรอัล กอสลิ่ง หนะ)

ที่ดีไปอีกคือมีคนถ่ายรูปให้ :)

018_kyushu

แต่เราก็ต้องถ่ายให้ฮีเหมือนกัน เพราะฮีไม่มีกล้อง – -“
(จริงๆ ฮีมี Gopro แต่ไม่หยิบออกมาใช้เลยยยยย
ใช้ของเราตลอดดดด บ่น )

019_kyushu

แต่เราว่าอาจจะเป็นเพราะนิสัยคนญี่ปุ่นมั้ง
เป็นคนใจดี ให้ความช่วยเหลือตลอด ถึงแม้จะพูดอังกฤษไม่ได้ก็ตาม
เรานึกภาพตอนเราอยู่ที่ไทย แล้วเห็นนักท่องเที่ยวที่ดูเหมือนหลงทาง
คือเรารู้แหละว่าเค้างงแผนที่อยู่ แต่เราก็ไม่ได้เข้าไปช่วย
จนกว่าเค้าจะมาถามเราเอง
แต่ที่นี่คือเข้ามาถามเลยเว่ย
ถึงพูดไม่ได้ แต่ขอรุกไว้ก่อนอะ
เค้าเป็นสายรุก แต่เราเป็นสายรับ 555

ประทับใจมาก :)

กลับมาประเทศไทยเลยอยากทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจแบบนั้นบ้าง
เดี๋ยวจะลองดู

การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนมันเป็นเรื่องที่พิเศษนะ


เราปั่นจักรยานเล่นทั้งวันจนความหิวเริ่มมาเยือน

“เราน่าจะลองอะไรที่มัน LOCAL นะ”

เราบอกเซบาสพร้อมกับชี้ไปที่ซุ้มขายอาหารริมถนน
คนญี่ปุ่นเรียกร้านแบบนี้ว่า Yatai
ซึ่งปกติแล้วการตั้งซุ้มอาหารริมทางผิดกฎหมาย
แต่สำหรับเมืองนี้
ให้ตั้งได้ เพื่อหาเงินจากนักท่องเที่ยวที่ถวิลหาความ local อย่างเราๆนี่แหละ

จะว่าคล้ายกับตลาดโต้รุ่งก็ไม่เชิง
เพราะมันไม่ได้มีโต๊ะเก้าอี้ออกมาตั้งหน้าร้านเหมือนไทย
แต่มันเป็นบาร์นั่งในซุ้มนั้นเลย
ซึ่งแต่ละร้านจะตั้งอยู่ติดๆกัน เรียบถนนริมแม่น้ำนาคาสุ
(แม่น้ำที่ผ่านกลางดาวน์ทาวน์ของฟูกุโอกะ)


เราตกลงกันว่าวันนี้ให้เราเป็นคนเลือกร้านอาหาร พรุ่งนี้ถึงเป็นคิวของเซบาส


เราปั่นจักรยานวนหาร้านที่ถูกใจอยู่นาน
พอจอดลงร้านนึง ดูเมนู(ที่อ่านไม่ออก) เห็นรูปเป็นเกี๊ยวซ่า

เซ : “ฮืม ไม่น่าจะอิ่มนะ ตอนนี้หิวมาก”

ไปอีกร้าน เหมือนจะเป็นราเมง 

เซ : “ไม่อยากกินแบบซุปอะ อยากกินแบบBBQ”

เอิ่ม…
เซบาสคะ
ไหนบอกให้กุเลือกไง!!!

020_kyushu021_kyushu

สรุปว่า เราปั่นจักรยานเลยออกไปจากโซน Yatai
แล้วไปจอดอยู่ที่ร้านเนื้อย่างวากิวที่ซ่อนอยู่ในตึกย่าน Tenjin
Local ของฉัน อดแดกค่ะ T_T


ความยากลำบากของการสั่งอาหาร

 

เมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย T__T
เข้าใจนางฝรั่งข้างหน้าอย่างสุดซึ้ง
ตอนนางมาไทยแล้วเจอตัวอักษรที่อ่านไม่ออกมันเป็นอย่างนี้สินะ
แต่พนักงานที่นี่เค้าก็พยายามมาก
ค่อยๆชี้ทีละเมนู แล้วอธิบายให้ฟังว่าคืออะไร
เราก็ฟังอย่างตั้งใจ

แต่….

เป็นภาษาญี่ปุ่น T__T

022_kyushu

โชคดีหน่อยที่ข้างหน้าร้านมีรูปเนื้อติดมัน
เลยไปชี้ๆว่าเอาแบบนี้
และก็ได้เซตเนื้อวากิวมาอย่างที่ต้องการ
เนื้อลายสวย แซมมัน กลิ่นหอม ละลายในปาก
อร่อยมากกกกกก

อยากจะบอกว่า
มื้อนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในทริป
และยังเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาในชีวิต!!!
เหมือนขึ้นสวรรค์
ตายไปไม่เสียดายแล้วค่ะ
5555

023_kyushu024_kyushu


แปลกดี ที่ร้านต่างๆหลบขึ้นไปอยู่ในตึกกันหมด

ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ คาราโอเกะ
ไม่มีหน้าร้านให้เรายืนตัดสินใจ
มีเพียงป้ายไฟชื่อร้านหน้าตึก เพื่อให้เราจินตนาการ
ถ้าจะลองขึ้นไปดูมันก็ชั้น 3 ชั้น 4 บ้างใต้ดินและดาดฟ้า
ขึ้นไปเซอเวย์ทั้งหมดคงไม่ไหว
แล้วร้านที่อยู่ชั้น 1 ก็จะมีผ้าปิดประตูทางเข้าครึ่งนึง

คือสิ่งสงสัยมานานแล้วว่า มีไว้ทำไม หรือเอาไว้ให้เราเดินเข้าไปส่อง

คนเราตัดสินกันแค่เพียงภายนอกจริงๆใช่มั้ย

027_kyushu025_kyushu

สุดท้ายเราก็จบด้วยบาร์ชั้น 1 ที่มีหน้าร้านให้เราเห็น
อุ่นใจไว้ก่อนเนอะ ยังไม่โปรเฟสชัลนอล ไม่กล้าขึ้น แหะๆ


GRAM rock bar

เข้าบาร์ญี่ปุ่นครั้งแรก
หน้าร้านมีโปสเตอร์วงดนตรีต่างๆทั้งญี่ปุ่น/อังกฤษ
มันเลยดึงดูดให้เราเลือกร้านนี้ไม่ยากนัก
ข้างในเป็นบาร์เล็กๆ ไม่มีโต๊ะแยกนะ
ที่ฝาผนังเต็มไปด้วยโปสเตอร์ และกีต้าร์
พี่เจ้าของบาร์ผอม สูง ผมยาว มีรอยสักกำลังเปิด DVD คอนเสิร์ต วง Queen

โคตรร็อคคคคเลยค่ะ ทั้งพี่ ทั้งบรรยากาศ

เราดื่มกันซักพักใหญ่ๆ
ไม่รุ้ไปคึกมาจากไหน
เลยเปลี่ยนใจลองไปที่อื่นบ้างดีกว่า
แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่รู้จะเข้าร้านไหนดี
จบด้วยซื้อเบียร์จาก LAWSON/FAMILYMART/7-11 เดินเล่น กินริมแม่น้ำ
กินไปคุยกันไป ก็หมดไปหลายอยู่ 555

ภาพตัดไปที่ ตี 3

ขึ้นลิฟไปชั้นบนสุดของตึกไรไม่รู้ เพื่อตามหาร้านดาดฟ้า แต่ไม่เจอ
ต่อด้วยเดินสุ่มเข้าร้านชั้นใต้ดินแบบมึนๆ
พอรู้ว่าเป็นร้านคาราโอเกะ ก็จัดเลย
(มันมีเพลงภาษาอังกฤษให้อยู่)
และปั่นจักรยานกลับโฮสเทลตี 5
ตัดจบ นอน

ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ

ชอบจังความรู้สึกของวันแรก :)


เช้าวันที่ 2

เข้าเซเว่น ซื้อกล้วยกับไก่ปิ้งเป็นอาหารเช้า
เป็นเมนูที่เรากินได้ทุกวัน เพราะมันอร่อย กินง่าย ได้เร็ว และราคาถูกถูกใจเจ๊
แล้วค่อยไปซื้อ RAIL PASS 5 วัน ไปได้ทั่วเกาะคิวชู ที่สถานี HAKATA
แพลนวันนี้คือเราจะไปนอนที่ KUMAMOTO
ห่างจากฟูกุโอกะ 1 ชั่วโมง โดยรถไฟชินคันเซน

ใช่แล้ว!!!

ชินคันเซนโว่ยยย
ชีวิตนี้ฉันได้สมผัสรถไฟที่เร็วที่สุดในโลกแล้ววว(แต่ไม่ใช่คันนี้)

ให้ตายเถอะ ตื่นเต้นชิบหาย

จำได้ว่าตอนมาอยู่กรุงเทพแรกๆนี่โคตรตื่นเต้นกับ BTS
อารมณ์ตอนนี้ก็ไม่ต่างกัน
ตรงที่ กดตั๋วยังไงวะ ถึงสถานีไหนแล้ววะ
พอขึ้นไปนั่งบนรถไฟแล้ว
แม่งก็ไม่เห็นอะไรเลยหวะ
แค่เร็วกว่า และเข้าอุโมงแทบจะตลอดเวลา
มองวิวได้แปปเดียว ก็เข้าอุโมงอีกแล้ว

เวียนหัวชิบหาย
ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไม – -“

บางทีเร็วไปก็ไม่ดี

นอนหลับดีกว่า

029_kyushu

พอมาถึง kumamoto เราก็ต่อรถไฟไปภูเขาไฟ ASO
ทุกการเดินทางช่วงแรก เราอาศัยการถามทางอย่างเดียวเลย
เพราะเราไม่มีอินเตอร์เนต
ไม่รู้ว่ามีรถไฟรอบไหนบ้าง กะเอาตามเวลาของตัวเอง
เข้าสถานีเมื่อไหร่ ก็เข้าไปถามพนักงานว่ามีรอบกี่โมง ชานชาลาไหน
แล้วก็รอขึ้นรถไฟรอบถัดไปนั่นแหละ


ASO STATION

เนื่องจากการเตรียมข้อมูลมาน้อยของเรา
เรารู้แค่ว่า
Mt.Aso เป็น Active volcano ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

แต่

วันนี้เพิ่งรู้ว่า ปากปล่องภูเขาไฟปิดไม่ให้ขึ้นไปดู
เนื่องจากปีที่แล้วเกิดภูเขาไฟระเบิด และยังไม่สงบดี
เคเบิลคาร์อยู่ในระหว่างซ่อมบำรุง
แต่ยังสามารถขึ้นไปบนเขาได้อยู่นะ
แค่ไม่ใช่ที่ปากปล่อง
และฝนก็ตก T_T

เลยเดิน walk in เข้าโฮสเทลแถวนั้นด้วยความเซง

คนที่อารมณ์เสียแบบออกอาการมากที่สุดคือเซบาสเตียน
นางหน้ามุ่ยมาตั้งแต่สถานีแล้ว

“We missed it, we should be here when it was erupting”
(เราพลาดละ แม่งน่าจะมาตอนมันระเบิด)

มันประชด!!!

โอ๋ๆ
ปะ แวะกินข้าวกันก่อนเนอะ
วันนี้ให้เป็นวันของเซเลย ถึงตาแกเลือกอาหารแล้ว

นางเลือกร้านที่ใกล้ที่สุด เพราะหิวมาก
แต่หลังจากมีอาหารเข้าท้องแล้ว
ความรู้สึกหงุดหงิดฮีก็หายไปในทันใด

Hungry + angry = Hangry

จริงๆแล้ว ฮีโมโหหิว – -“


เมื่อ
หนังท้องตึง หนังตาหย่อน
ฝนตก อากาศก็เย็นสบาย
หัวแตะหมอนแล้วฉันก็หลับไปอย่างง่ายดาย

นอนกลางวันเลยค่าาา

Aso Base backpacker


ยัง วันนี้จะต้องไม่จบด้วยการนั่งรถไฟมานอนกลางวัน

ตื่นมาอีกทีก็ 2 ทุ่มแล้ว

ฝนก็ยังไม่หยุดตก เริ่มหนาวแล้วหละ
ต้องหากิจกรรมทำหวะ
ไม่งั้นจะรู้สึกวันนี้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์มากๆ
(ควรจะรู้สึกตั้งแต่นอนกลางวันแล้ว)

เจ้าของโฮสเทลแนะนำว่า แถวนี้มี Onsen นะ ด้านขวาของสถานีรถไฟ
ถ้าซื้อบัตรออนเซนกับโฮสเทลจะได้ลดราคาครึ่งนึง จาก 400Y เหลือ 200Y
ดีเลยค่ะ ^_^


แช่ ONSEN ครั้งแรก


ที่นี่เป็นออนเซนน้ำแร่เล็กๆ มีทั้ง Outdoor กับ Indoor
ข้างในเป็นบ่อปูนสี่เหลี่ยมธรรมดา ที่มีน้ำร้อนและควันฟุ้งไปทั่วห้อง
ส่วนข้างนอกเป็นบ่อหิน รายล้อมไปด้วยหินใหญ่และต้นไม้
แน่นอนว่า เราเป็นสายธรรมชาติ
ขอไปนอนแช่น้ำร้อนข้างนอกดีกว่า บรรยากาศดีกว่าเยอะ
อากาศแบบนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้ว
ถึงฝนจะตก แต่เค้าก็มีหลังคาให้นิดนึง แบบแจแปนสไตล์
น้ำร้อนมากกกก แต่ก็รู้สึกดีมากๆเหมือนกัน

ถามว่าเขิลมั้ย  >,<

เราเดินเข้าไปแบบโถ่งๆไม่มีเสื้อผ้าซักชิ้น
มีแค่ผ้าขนหนูเล็กๆผืนเดียว
ไม่รู้จะปิดบนหรือปิดล่างดี
ขอปิดหน้าดีกว่า จะได้ไม่เห็นใคร 555

นี่ ฉันกำลังโป๊ให้คนแปลกหน้าดูอยู่ใช่มั้ย แอร๊ยยย >.<
เพราะหน้าตาและสีผิว แปลกประหลาดกว่าคนอื่น
เดินเข้าไปก็เลยเป็นจุดสนใจ
แต่พอมีคนมาคุยด้วยก็คลายเขิลไปได้บ้าง


ตลกดีนะ Naked Friends
เราได้เพื่อนใหม่ตอนที่เราไม่ใส่อะไรเลย
แถมนัดกันไปเจอที่กรุงเทพด้วย (สร้างเครือข่ายค่า)
ไม่มีการตัดสินคนที่ภายนอก
ไม่มีเสื้อผ้ามาบ่งบอกสถานะ
นี่ตัดสินกันที่ภายใน ใต้ร่มผ้าล้วนๆเลย 555


ออกมาจาก Onsen นี่ตัวแแดงเลย
สะสมความร้อนมา เจอฝนตกอากาศหนาวข้างนอก ก็ยังรู้สึกอุ่น

ฟินค่ะ เหมือนชนะธรรมชาติ แกทำไรฉันไม่ได้หรอก :}

แอบถามเซบาสว่า Sausage ใน Onsen ฝั่งชายเป็นยังไงบ้าง
ฮีบอกไม่มีนะ มีแต่ Chilli pepper
5555

หลังจากนั้นเราก็ไปหาอะไรกินในดาวน์ทาวน์ ก่อนกลับโฮสเทล
เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพ Onsen มาให้ดูว่าฟินขนาดไหน

041_kyushu

ร้านอาหารนี้เป็นเหมือนอาหารตามสั่งบ้านเรา
เพียงแต่ต้องสั่งกับตู้อัตโนมัตนะ ไม่ใช่สั่งกับคน
ไม่มีคนมาคอยชี้ว่าอะไรคืออะไร
มีปุ่มเลือกเมนู เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนค่าาาา
เลยจัดเมนู RANDOM FOOD กดมั่วๆไปเลย

ตื่นเต้นดี
ตัดปัญหาการทะเลาะกันเรื่องเลือกอาหารด้วย 555

:3


เมื่อคืนหลับสบายมากกก

โฮสเทลนี้มีเตียงที่นิ่มมากเป็นพิเศษ
ซุกตัวในผ้าห่มสบายสุดๆ
นอนอิ่มเอมเปรมปรี เป็นโฮสเทลที่สบายที่สุดในทริป

อ่าาา~~
ออกไปสูดอากาศบริสุทธ์ยามเช้าที่หน้าต่างซักหน่อยซิ


เชี่ยยยยย ฝกตก!!!


(วิวจากหน้าต่างห้อง)
042_kyushu

วันนี้คงต้องขึ้นเขาพร้อมฝน
เพราะเราไม่ยอมให้ฝนมาเป็นอุปสรรคหรอก ชิๆ
T_T

เราเชคเอาท์ ขอยืมร่ม ฝากกระเป๋าไว้ที่โฮสเทล
ซื้อกล้วยและไก่ทอด Rawson เป็นอาหารเช้า
แล้วเดินไปที่สถานีรถไฟ เพื่อขึ้นรถบัสไป Mt.Aso รอบ 10.30
บนรถบัสขาไปมีแค่เรา เซบาสเตียนและคนขับ
มองออกไปข้างนอกก็ฝนตก
บรรยากาศมันเหงาหงอยอะไรอย่างนี้
เริ่มรู้สึกแล้วหละ ว่ากุจะมาที่นี่ทำไม

ระหว่างทางขึ้นไปตอนนี้เป็น Grassland ดินแดนมหัศจรรย์
เป็นทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ คลุมทั้งภูเขา หลายๆลูก
เป็นที่สำหรับเลี้ยงวัวและม้า
เว่อวังอลังการมากจริงๆนะ

แต่ฝนตก
และเราออกไปถ่ายรูปไม่ได้

043_kyushu

บัสมาส่งเราที่สุดปลายทาง ก็คือตีนภูเขาเอโสะ
เป็นอาคารใหญ่ ข้างในขายของที่ระลึก
และเป็นจุดขึ้น Ropeway ไปดูปากปล่องภูเขาไฟที่ตอนนี้ปิด
อากาศข้างนอกก็หนาวและลมแรงมาก
แต่อย่างที่บอก วันนี้เราจะไม่ยอมให้ฝนมาขวางทาง

หนาวนักใช่มั้ย
จัดไอติมซะเลย!!!

044_kyushu

ถ้าหมอกจะเยอะขนาดนี้ ไม่ต้องเห็นหรอกภูเขาไฟ
เพราะแยกไม่ออกตรงไหนปล่องภูเขา
คือหมอกมันบังไปทั่วทั้งท้องฟ้า

ฮา ฮา ฮา หัวเราะแห้งๆ ย้อมใจตัวเอง T_T

เราพยายามแล้ว เราหาปล่องภูเขาไฟไม่เจอ
มันต้องหลบอยู่ซักหมอกในนี้แหละน่าาาา


หลังจากเดินจนทั่วตีนภูเขาไฟ เราก็นั่งรถบัสย้อนกลับไปที่พิพิธภัณฑ์
ที่นี่ มีจุดดวิวพ้อยท์ที่สามารถชมเมืองได้ทั้งเมือง

ลมแรงมาก พัดลมหนาวใส่แบบไม่ยั้ง แทบปลิวแหนะ
จนต้องเอาร่มมากันลมแทนฝน ทำเป็น Bunker
และยอมให้ตัวเปียกไป
ชุดที่เตรียมมาก็ดูจะผิดฤดู เป็นชุดหน้าร้อน 555
ในขณะที่คนอื่นเค้ามีชุดกันหนาวกันลมเพรียบพร้อม
เราออกไปถ่ายรูปเสร็จแล้วกลับมานั่งขดอยู่ในอาคาร

เหมือนเอาตัวเองมาทรมานยังไงไม่รู้

ยิ่งตอนรอรถบัสขากลับ เป็นที่ๆลมแรงที่สุด
เป็นที่กลางแจ้ง ไม่มีอะไรบังได้เลย

จะเอาร่มมาบังขาก็หนาวหน้า
จะเอาร่มมาบังหน้าก็หนาวขา

จึงปฏิบัติการร่มคู่ ร่มเซบาสบังช่วงบน ร่มเราบังช่วงล่าง
แล้วเราสองคนก็ไปยืนหลบลมอยู่หลังร่ม
คือตอนนี้รวมร่างกลายเป็นหุ่นยนต์แล้วหละ

555


สิ่งที่ทำให้มีความสุขที่สุดในตอนนี้กลายเป็นห้องน้ำ มีที่นั่งอุ่นตูด
คนญี่ปุ่นเค้าคิดมาดีมากจริงๆ

ท่าเดินเมื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว
058_kyushu

ก่อนจะกลับ

อย่าลืมจัดเนื้อม้า เค้าบอกว่าเป็นสิ่งที่ต้องลองเมื่อมาที่นี่
เพราะเค้าไม่ได้เลี้ยงม้าเพื่อขี่ แต่เลี้ยงเพื่อเป็นอาหารจริงๆ
เราสั่งราเมงเนื้อม้ามากิน นั่งกินพร้อมวิวฟาร์มม้าข้างหน้า

“ขอโทษนะแก ฉันเพิ่งกินแม่แกไป” (พูดกับม้า) ฮี่ฮี่

:3

แต่ก็ยอมรับนะว่าวิวมันสวยมากจริงๆ
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมาอีกรอบตอนที่ฝนไม่ตก
จะวิ่งให้ทั่วทุ่งเลยคอยดู


แต่วันนี้ ภูเขาไฟ ASO ไม่ต้อนรับฉัน 

T__T

 


ผิดหวังจากภูเขาไฟ ASO 

เราก็ย้ายเมืองไปที่ Kagoshima
เป็นอีกเมือง ที่มีภูเขาไฟเป็นแลนมาร์ค
นั่งรถไฟจาก Aso ไปตัวเมือง Kumamoto 1 ชั่วโมง
และต่อชินคันเซนไป Kagoshima อีกประมาณ 1 ชั่วโมง

ถึง Kagoshima แล้ว แต่ฝนยังตกอยู่เลย
เราต้อง walk in ไปที่โฮสเทล
ปกติที่อื่นๆเดินไปก็ถึง
แต่คราวนี้เราต้องใช้ “รถราง”
เป็นครั้งแรกที่เห็นรถรางแหละ

เท่ชิบหาย

ทั้งรูปทรง ทั้งการเคลื่อนที่ สีสัน ตู้เก็บตัง และพนักงงานขับรถ
รู้สึกเหมือนบ้านนอกเข้ากรุง ตื่นเต้นยิ่งกว่าขึ้น BTS ครั้งแรก
พร้อมกับความสงสัยว่า ทำไมสถานีรถรางถึงต้องไปอยู่บนเกาะกลางถนน
และเมื่อมันวิ่งอยู่บนถนนอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องมีราง เป็นรถไม่ได้หรอ

?

 


อาหารมื้อเย็นของเราในวันนี้


เราเลือกกิน Sashimi ร้านดีๆ (วันนี้คิวเราเลือกอาหารค่ะ)
ก่อนนี้ได้กินแต่ซูชิเซเว่น ขอร้านดีๆทำสดๆบ้างนะ

เข้าร้านแบบนี้ทีไร มีเอ๋อทุกครั้ง
เพราะเมนูมันช่าง…ญี่ปุ่นเหลือเกิน

067_kyushu

เราต้องวิ่งไปหน้าร้านเพื่อจิ้มที่รูปบนป้าย
จะเอาปลาดิบแบบนี้เซตใหญ่ๆ
ก่อนเมนูหลักมาเสริฟ
เค้าจะจัดออเดิร์ฟเล็กๆมาให้รองท้องก่อน
เรียกว่า table change ในส่วนนี้ ถึงเราจะกินไม่กินก็ต้องจ่าย
เหมือนมันเป็นธรรมเนียม เพราะที่นี่เค้าจะไม่มีการให้ทิป
แต่จะเป็นค่าบริการพิเศษแบบนี้แทน
(เราเถียงมาแล้วค่ะ)

068_kyushu

และตามด้วยเซตรวมปลาดิบที่สั่งไว้
มีปลาอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด 555
สดมวากกก ปลาไม่มีกลิ่นคาวเลยและยังได้รสชาติปลาแบบเต็มๆ ชอบๆๆๆ
เราชอบเวลาพ่อครัวแอบมองเราสองคนกินอย่างลุ้นๆ
ว่าอินี้จะกินเป็นมั้ย กินได้มั้ย ยังไง
คือเราก็กินเป็นในแบบเราอะ เอาวาซาบิแช่ในโชยุ
ซึ่งมันไม่ใช่แบบที่เค้ากินไง
เซบาสเตียนก็เพิ่งจะเคยกินปลาดิบครั้งแรกด้วย
ก็้เลยให้พ่อครัวสอนวิธีกิน วิธีจิ้มซอสให้ไหม่เลย

พ่อครัวใจดี :)

069_kyushu

 

พอนั่งกินซักพัก

มีคนญี่ปุ่นโต๊ะข้างหลังเรา เดินเข้ามาพูดคุยทักทาย
ชนแก้วต้อนรับนักท่องเที่ยวหน้ามึนสองคน


“ WELCOME TO KAGOSHIMA “


ด้วยการสั่งเมนูอาหารให้ลอง 2 เมนูฟรีๆ
บอกว่าเป็นอาหารพิเศษของที่ Kagoshima เท่านั้น
เป็นปลาซึดาเกะหัวไชเท้า และ หัวปลาต้มซีอิ๊ว เรียกว่างี้มั้ง เดา
และเบียร์ให้อีกคนละแก้ว

เห้ยยย เดี๋ยวๆ

อะไรจะเปปานนี้ บอกว่าโนๆๆ ไม่เอาๆๆ ไม่เป็นไร ก็ไม่ฟัง
อยากบอกว่าเกรงใจจังก็ไม่รู้จะพูดยังไง
พวกเขาจัดแจงสั่งกับเชฟเรียบร้อย
เรามองหน้าเซบาสแล้วต่างเข้าใจกันเลยว่า
ที่นี่แม่งมีะไรให้ตื่นเต้นได้ทุกเวลาจริงๆหวะ


เอ้า!!!!
คัมปายยยยยยย
(แปลว่าชนแก้ว)


เราว่าจะสั่งเบียให้เค้าเป็นการขอบคุณ
แต่เค้าไม่กินเบียไง กินไวน์กัน
แล้วไวน์ก็มีแต่เป็นขวดใหญ่และแพง ฮ่าๆๆ ราคาไมไหว
แต่อยากขอบคุณจริงๆ

ฟิล โลค่อลมากก  >.<

 

เป็นอีกวันที่ยาวนานน แต่มีความสุข :)


ตื่นมาวันนี้ฝนหยุดแล้ว ดีใจกับเราหน่อย

แต่ก็ยังมีเมฆหนาอยู่นะ
แพลนวันนี้จะไปดูภูเขาไฟ (อีกแล้ว)
ภูเขาไฟซากุระชิม่า Sakurashima
เป็น Active Volcano ที่ประทุอยู่เรื่อยๆ แต่เบาๆ
บางคนถึงกับเรียกมันว่า ฟูจิซัง 2 เลยนะ
ใหญ่ขนาดว่าสามารถมองเห็นได้จากทุกมุมเมือง เป็นสัญญลักษณ์ของจังหวัดนี้

ซากุระชิม่าอยู่บนกลางเกาะ  การเดินทางไป ต้องนั่งเรือข้ามฝั่งประมาณ 15 นาที(160Y)

เมื่อมาถึงเกาะ
จะมีรถ sight seeing bus
รถบัสประจำทาง
TAXI
และเช่ารถยนต์ มอไซด์ จักรยาน


ตอนแรกเราจะเช่ามอเตอร์ไซด์
แต่จะต้องมีใบขับขี่สากล ก็เลยอดไป
มันไม่เหมือนเกาะช้างเกาะเต่าอะเนอะ
ที่ใช้แค่บัตรประชาชนยังได้เลย
ก็เลยเลือกไปกับทัวร์ Sight Seeing Bus (500Y)
ซึ่งเป็นบัสที่จะจอดให้ชมจุดชมวิวรอบๆ ครึ่งเกาะ โดยมีเวลากำหนด


“จุดแรก 4 นาทีค่าาาา”

โอ้ กระโดดลงรถแทบไม่ทัน กลัวไม่ได้ถ่ายรูป
ขึ้นรถช้าก็กลัวคนอื่นจะว่า เพราะประเทศนี้ตรงเวลาชิบหาย
แล้วต้องวิ่งขึ้นบันไดไปดูวิวอีกกกกค่าาาา
หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายได้รูปนึง เอ่า หมดเวลาละ วิ่งกลับ T_T

จุดที่สอง 7 นาที

จุดที่สาม 13 นาที

จุดสี่จุดห้า เหนื่อยแล้วข่าาาาา

ต่อไปนี้จะไม่ซื้อทัวร์แล้ว ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอาๆ
มันอาจจะโอเค สำหรับคนที่ต้องการแค่เก็บแลนมาร์ค
แต่เราชอบถ่ายรูป และเสพย์ธรรมชาติ มันก็เลยต้องการเวลามากกว่าคนอื่น
มาคราวหน้าฉันจะทำใบขับขี่สากล
แล้วเช่ารถขับรอบเกาะทั้งวันเลยคอยดู
บนเกาะมันมีอะไรให้ทำมากกว่านั่งรถเยอะนะ จริงๆ

หลังจากจบทัวร์แล้ว
มองเห็นกลุ่มเมฆสีดำกำลังวิ่งมา ก็เลยรีบกลับดีกว่า
ต้องขึ้นรถไฟไปจังหวัดมิยาซากิต่อ


ณ สถานีรถไฟ Kagoshima 

ขณะนี้เวลา 5 โมงเย็นวันศุกร์
เป็นเวลาเลิกงาน เลิกเรียน คือเป็นช่วง Rush hour อะแหละ
คนเยอะแบบสุดๆ เราเข้าไปยืนเบียดๆบนรถไฟ

แล้วนึกขึ้นได้ว่า
กุต้องยืนแบบนี้อีก 2 ชั่วโมงใช่ไหม!!!
ยืนไม่เท่าไหร่ แต่หิววววแน่ๆ!!!

เราต้องรีบไปหาอะไรกิน ก่อนที่จะหงุดหงิดไปมากกว่านี้
เดี๋ยวอาการ Hangry จะกำเริบ

ก็เลยเดินออกมาจากรถไฟ
แล้วค่อยกลับมารอบถัดไปอีกตอน 2 ทุ่ม


ชาบูชาบูหมูคุโรบูตะ 

เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้
ร้านอยู่แถวสถานีรถไฟนี่แหละ ไม่ไปไหนไกล
แต่เราว่ารสชาติมันก็ธรรมดานะ
ไม่มีอะไรพิเศษ หรือว่าเราเข้าร้านไม่ดีก็ไม่รู้

087_kyushu

เราเดินเล่นแถวนั้นรอเวลารถไฟมา
พอดีมีตลาด Vintage มาตั้งบูท ก็เลยเดินดูเพลินเลย
ยังกะตลาดนัดรถไฟ เวอชั่นญี่ปุ่น

ได้เวลาขึ้นรถไฟแล้ว

เป็นการขึ้นรถไฟรอบดึกครั้งแรก
ไปยังเมืองที่เป็นเป้าหมายหลักของเราสองคน
เสพย์ภูเขาไฟมาพอแล้ว ขอไปเสพย์ทะเลบ้าง


เราถึงจังหวัดมิยาซากิตอน 4 ทุ่ม

 

เวรละ
ลืมคิดไปเลย
ว่ารีเซฟชั่นของโฮสเทลต้องปิดแล้วแน่ๆ รถบัสก็หมด
เราก็เลยต้องเปลี่ยนแผนฉุกละหุกเป็นนอนโรงแรม

เวรอีกละ
นอนโรงแรมกับผู้ชายเว่ยเห้ย!!

เราตกลงกับเซบาสดีๆ “ว่าเราจะนอนเตียงนะ ยูลงไปนอนพื้น”
(คือรีเซฟชั่นเปิดห้องเตียงเดียวให้ เพราะเราไปขอห้องถูกๆ)
อิเซบาสว่า นี่ยูหลงตัวเองไปปะ กลัวก็ลงไปนอนพื้นเองไป
อ่าวห่า ไม่ได้หลงตัวเองเฟ่ยย ก็รู้ตัวว่ากุสวย ผิดด้วยหรอ
5555

คือจริงๆ มันไม่มีอะไรหรอก
รู้สึกไม่ต่างจากโฮสเทลเลย
แค่แพงกว่า

ออกไปเดินเล่นหาไรกินข้างนอกกันเถอะ


เดินออกมาจากโรงแรมก็เจอ Walking street

คนเยอะมาก อาจเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ก็ได้
แล้วแถวๆนี้ใกล้มหาลัย ก็เลยมีวัยรุ่นมาเดินกันเยอะ
แตกต่างจากตอนเดินที่ฟุกุโอกะนะ
ตรงนั้นส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานใส่สูทผูกไทด์

จากวอคกกิ้งสตรีทที่ฟุกุโอกะ สอนให้เรารู้ว่า บาร์ดีๆจะซ่อนอยู่บนตึก
และอีกครั้งที่ต้องสุ่มร้านจากป้าย


แต่ครั้งนี้เราค้นพบนวัตกรรมไหม่จากญี่ปุ่น
คือร้าน MIYAZAKI NIGHT MAP ซึ่งมีอยู๋หลายสาขามากในซอยเดียวกัน
เราหลงเข้าไปเพราะมันมีภาพเนื้อย่างอยุ๋ข้างหน้า (คือหิว)
แต่จริงๆแล้วมันคือร้านที่รวบรวมภาพถ่ายของแต่ละร้าน
และบอกพิกัดว่ามันอยู่ตรงไหน ราคาเท่าไหร่ ผู้หญิงในเกิลบาร์หน้าตาแบบไหน อะไรยังไง
ประมาณว่าเป็นไกด์บุคให้เรา มีคนยืนให้คำปรึกษา คือจริงจัง
เพราะฉะนั้น ทางออกของร้านที่อยู่บนตึกทั้งหมด คือร้าน MAP แห่งนี้แล….

มีทั้ง karaoke / Girl bar / Lounge / ร้านอาหาร / ร้านนวด และเนื้อย่างที่เปิดถึงตี 3

 

ขณะนี้เวลา เที่ยงคืน คนยังเยอะอยู๋เลย
090_kyushu

เราสุ่มขึ้นตึกไปยัง Snack Bar ชั้นดาดฟ้าร้านหนึ่ง

ในขณะที่อยู่บนลิฟท์ เจอวัยรุ่นญี่ปุ่นชายหญิงสองคน
เค้าเข้ามาทักทาย พูดอังกฤษได้นิดหน่อย
ถามไถ่ไปไหน ยังไง แล้วก็ชวนไปชั้น 4

“Snack bar หรอ ไม่มีอะไรหรอก
มาชั้น 4 ดิ มาด้วยกันๆๆ ปาร์ตี้กันๆ”


อะ อะ ไปก็ไป
แล้วก็ออกจากลิฟท์ไปกะพวกนาง


ทำไมเราสองคนเชื่อคนง่ายจัง 555


ที่นี่เป็นบาร์เล็กๆ ในห้องหนึ่งของตึกใหญ่ ไม่มีหน้าต่าง
อารมณ์เหมือนเอาห้องพักในอพาร์ทเม้นมาทำเป็นบาร์
อยู่ได้ประมาณ 15 คนก็เต็มแล้ว
แต่มันรู้สึกอบอุ่นแบบบอกไม่ถูก
เค้าต้อนรับเราเหมือนแขกพิเศษ ทั้งเจ้าของบาร์ และ elavator guy

คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา
เราพูดคุย เม้ามอยกันด้วย google translate
กว่าจะคุยกันได้แต่ละประโยคนี่มันส์มาก
ได้ร้องคาราโอเกะแบบฟรีๆ (อันนี้ชอบมาก)
แถมเจ้าของร้านเลี้ยงเบียร์คนละขวด

Surprise Bar บาร์ดีๆมันไปซ่อนตัวอยู่อย่างงี้แหละ
ประทับใจอะ

แล้วจะให้ไม่คิดถึงได้ยังไง :)


ตี 5 กลับห้องก็หลับเป็นตายเลย

 


วันที่ 5 แล้ว

เชคเอาท์จากโรงแรมตอน 11 โมง
ฝากกระเป๋าที่Locker สถานีรถไฟ แล้วนั่งรถไฟไปทะเล

MIYAZAKI เป็นเมืองติดทะเลฝั่งตะวันออกของเกาะคิวชู
ถ้ามองจากทะเลไปจนสุดสายตา มองข้ามมหาสมุทรแปซิปิกไปจะเจอประเทศอเมริกา
ฮ่าๆๆ ก็ไกลไป๊

แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่จะโดนซึนามิเต็มๆเลย
มีป้ายทางหนีคลื่นซึนามิ ตลอดทาง


วันนี้จะเป็นวันนั่งรถไฟเล่นทั้งวัน

เราขึ้นรถไฟจาก Miyazaki ไปทางใต้ของจังหวัด
ไปลงที่ไหนก็ได้ที่มีทะเล
เส้นนี้เป็นทางรถไฟเรียบทะเล
ฝั่งซ้ายเป็นทะเล ฝั่งขวาเป็นภูเขา
ช่วงนี้เมฆครึ้มหน่อย ไม่มีท้องฟ้าสีฟ้า ไม่มีทะเลสีน้ำเงิน
ถ้ามาหน้าร้อนคงจะสวยกว่านี้มาก (ดูจาก Google ก็ได้)
แต่ก็ดีตรงอากาศเย็นสบาย
ไม่มีแดด
เปิดหน้าต่างกินลม ชิลค่ะ

เคยได้ยินมาว่า
รถไฟที่ประเทศไทย เป็นรถไฟมือสองจากญี่ปุ่น
เออ มิน่าหละ รู็สึกถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย
ที่แท้มันคือรถไฟแบบเดียวกับประเทศไทยนี่เอง
ทั้งหน้าต่าง ทั้งที่นั่ง อารมณ์ประมาณนั่งรถไฟไปหัวหิน
คือมาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ทำตัวเหมือนเที่ยวประเทศไทยเลย 555
แต่ก็ต่างกันแค่ ที่นี่เรารู้ว่าเราจะถึงปลายทางตอนไหน

แต่ของพี่ไทย เราไม่มีทางรู้เลย 

096_kyushu

ยิ่งนั่งรถไฟออกจากเมืองมาไกลเท่าไหร่
ยิ่งรู้สึกเหมือนออกจาก Comfort Zone ขึ้นเรื่อยๆ
มันทำให้เราเตรียมตัวเปิดรับทุกอย่างที่จะเข้ามา
เตรียมใจพร้อมลุยไปกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

โชคดี ที่เราเจอแต่คนดีๆ


ได้มิตรภาพบนทางรถไฟ มีน้องๆมาขอถ่ายรูปด้วย ก็เลยขอถ่ายบ้าง
(ท่าชูสองนิ้วเป้นท่ามาตรฐานของคนญี่ปุ่นจริงๆ)
098_kyushu

เราชอบวันนี้ที่สุดนะ

เพราะเราชอบรถไฟ เราชอบทะเล
เราชอบการนั่งดูวิวมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าต่าง
โดยที่เราไม่ต้องเดิน (คือขี้เกียจ)
เรานั่งไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้สนใจจุดหมาย
เหมือนนั่งรถเมไปสุดสาย ที่ที่สถานีสุดท้ายไม่ใช่คำตอบ
แต่สุดตั้งแต่เริ่มต้นก้าวขึ้นรถไฟมาแล้วหละ

(แต่ที่นี่สุดสายไม่ได้นะ เดี๋ยวไม่มีรถไฟกลับ 555)


วันนี้ไม่ต้องพูดถึงเซบาสนะ 555
วันหลับของนางหละ


Lost in Nango 

เราถึงเมือง Nango เมืองที่ห่างจากดาวน์ทาวน์แค่ 55 กิโลเมตร
กลับเป็นเมืองที่เงียบมาก
เงียบเหมือนไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว (ก็ไม่ใช่จริงๆ)
เงียบเหมือนไม่มีคนอยู่
เงียบเหมือนคลื่นยักษ์กำลังมา และเค้าอพยพกันไปหมดแล้ว – -“

บ้านที่นี่ทำให้เรานึกถึงฉากในหนังสือการ์ตูนเลย
เป็นญ๊่ปุ่นแบบชานเมือง บ้านนอกๆหน่อย
มันเป็นแบบบนั้นจริงๆ เพิ่งจะรู้สึกเหมือนอยู่ญี่ปุ่นก็คราวนี้แหละ555


เราขึ้นแทกซี่ไปที่หาด ที่เหมือนจะมีรถอยู่คันเดียวทั้งเมือง
และขากลับ
ต้องเดินเข้าตัวชุมชนเพื่อโบกรถไปกลับสถานี เพราะทะเลจุดนั้นไม่มีแทกซี่ ฮ่าๆๆ
ทุลักทุเลไปอีกกก
เดินอยู่นานมีรถวิ่งผ่านมาคันเดียว แต่โบกครั้งเดียวก็ได้เลย
เหมือนเค้าจะเข้าใจพวกเราอะเนอะ


นั่งรถไฟกลับมาอีกหาด Aoishima beach
เป็นหาดที่ป๊อปปูล่าแห่งนึงในจังหวัดมิยาซากิ

ความพิเศษของหาดนี้คือ
มีเกาะเล็กๆชื่อว่า Aoishima island ที่สามารถเดินข้ามไปได้
รอบๆเป็นหาดทราย และลานหินประหลาด
ที่มีการเรียงตัวของหินเป็นแถบๆ แบบแปลกๆ
ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ธรรมชาตินะ!
คนที่นี่เค้าเรียกว่า Devil’s Washboard
หรือกระดานซักผ้าของยักษ์นั้นเองงงง….

110_kyushu111_kyushu
เราไม่ได้เดินเข้าไป – -”
เพราะเรามุ่งไปจุดที่เค้าเล่นเซิร์ฟอย่างเดียวเลย
แต่ก็ต้องอด เพราะร้านบอร์ดบอกว่าหมดเวลาเช่าแล้ว T_T

นางเซบาสบ่น เซ็ง ที่วันนี้นางไม่ได้ทำอะไรทั้งวัน
เซิร์ฟก็ไม่ได้เล่น ได้แค่เอาเท้าไปจุ่มน้ำทะเล แค่นั้นเอง

“เออหนะ อย่าหงุดหงิดไปเลย เดี๋ยวพาไปหาไรกิน”


กลับเข้าเมืองอีกครั้งด้วยความหิว

เราเดินตามหาร้านเนื้อย่าง Miyazaki Beef ที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
แต่สุดท้ายก็ไปจอดที่ร้านบ้านๆ ร้านนึง
แต่ดันสั่ง “เนื้อม้า” (อีกแล้ว) กับไก่รมควัน
เราเริ่มมีพัฒนาการในการสั่งอาหาร
คือจะกินร้านไหน ถ่ายรูปอาหารที่ป้ายร้านก่อนเข้าไปเลย
จะได้ไม่ต้องวิ่งออกมาถ่ายอีก 555

พอกินเสร็จก็ไปสถานี เช็ครอบรถไฟเพื่อไปยังที่พักแห่งใหม่

โอ้แม่เจ้า! รอบถัดไปคือ 8.45pm ค่ะ

ซึ่งใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมง  จะถึงเกสเฮ้าส์ที่เล็งไว้
แปลว่า 5 ทุ่มถึงสถานีนั้น แล้วจะต้องเดินต่ออีก 2 กิโล


WE DID THE SAME MISSTAKE!!


เดจาวูเลยยยยจ้าาาาา
เราปล่อยให้อาหารมาควบคุมการทำงานของสมอง 2 วันติดกันได้ยังไง


สุดท้าย เราเดินทางมาด้วยความเชื่อ

เชื่อว่า เจ้าของเกสเฮ้าส์ที่เล็งไว้ยังไม่นอน
และขอให้เกสเฮ้าส์ยังไม่ปิด

เวลา 5 ทุ่ม ณ Minami-Hyuga station


หลังจากก้าวออกจากสถานีรถไฟ
ก็พบว่า เมืองนี้คือที่สุดของความเงียบ
เงียบกว่า NANGO ที่หลงไปเมื่อตอนกลางวัน
เพราะนี่มันตอนกลางคืน
มันไม่ใช่สถานีหลัก
มันเป้นสถานีทางผ่านที่ไม่ค่อยมีรถไฟจอด รถไฟรอบเราเป็นรอบสุดท้าย
ขนาดว่าคนขับและคนบนรถไฟยังมองเลย ว่าทำไมมีนักท้องเที่ยวลงถานีมืดๆนี้

เป็นเมืองเล็กๆ และเงียบมากๆๆๆๆๆๆๆ
บ้านทุกบ้านเงียบกริบ ปิดไฟสนิท
มีแค่ไฟถนนริบหรี่ และแมวดำบนกำแพง!
เราจินตนาการว่า ถ้ามาคนเดียวจะเป็นไงวะ
น่าจะหลอนนน แต่คงไม่มาก
เพราะไม่รู้ผีญี่ปุ่นเป็นไง นึกภาพไม่ออก
แล้วจะหลอกเราด้วยภาษาอะไร 555

(แต่ถ้ามาคนเดียวจริงๆ เราไม่เอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้หรอก)


เรากับเซบาสเดินตามแผนที่ที่แคปไว้มาเรื่อยๆ ประมาณ 2 กิโลเมตร
และรู้สึกเหมือนจะหลงทางเข้าไปในอพาร์ทเม้นเก่าๆ
ก็เราเห็นป้ายเกสเฮ้าที่ถนนใหญ่บอกให้เลี้ยวเข้ามาในนี้
แต่เดินรอบทั้งตึกแล้วก็ไม่เห็นมี
มันมืดมากจริงๆ และเหมือนอพาร์ทเม้นร้างจริงๆ

เซบาสหยิบไฟฉายขึ้นมาเปิด (คือเมิงพกไฟฉายด้วยหรอ!)
บรรยากาศตอนนี้เหมือนอยู่ในรายการคนอวดผี
กำลังทำภารกิจตามหาสิ่งที่มีอยู่แต่สัมผัสไม่ได้
มีสวนกลางอพาร์ทเม้นรกๆ เหมือนไม่มีใครดูแล
มองไปใต้บรรไดใต้ตึก ประตูที่แง้มไว้ หรือมองขึ้นไปบนระเบียง

ทุกความมืด ทำให้เราจินตรนาการว่ามันมีอะไรอยู่ตรงนั้น

นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่วะ
!?!?!

และแล้ววว


เราก็เจอป้ายบอกทางเว่ยยยย


แทบจะกระโดดกอด
เรารอดแล้วแก
เราาาา รอดดดด แล้ววววววว!!!!

ป้ายเล็กเท่าจิ๊มดเลยยยยยยยค่าาาา

117_kyushu

เราเดินตามป้ายบอกทางเล็กๆ นี้เข้าไปเรื่อยๆ
ลึกเข้าไปในป่าหลังอพาร์ทเม้นร้าง
จนเจอกับแสงไฟส้ม
และมนุษย์ญี่ปุ่น

ถึงซักที!

เราเดินเข้าไปและเจอกับเจ้าของเกสเฮ้าอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เค้ายังไม่นอน นั่งปิ้งย่างกันอยู่ในสวนกลางบ้าน
แต่เราก็ต้องสะอึกอีกครั้ง
เมื่อเจ้าของบอกว่า


“ขอโทษจริงๆ ที่พักเต็ม”!!!!


แทบจะร้องไห้อยู่ตรงนั้น แต่ก็กลั้นไว้
มันเป็นความผิดพลาดของเราทั้งคู่เอง ที่ไม่ได้จองก่อน
เพราะก่อนมา เราเช็คแล้วว่ามันไม่เต็ม แต่ก็ดันไม่จอง

ใครจะรู้ว่าระหว่างที่เดินทาง ไม่มีเนต และหลงอยู่นั้น จะมีคนเอาห้องเราไปแล้ว
เราถามเค้าว่า แถวนี้มีที่พักอีกมั้ย
เค้าบอกว่า แถวนี้ไม่มีแล้ว
ใกล้สุดก็อีก 30 โล

T_T

เค้าเดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้เราโหวง


แล้วกลับออกมา

บอกว่า “เดี๋ยวให้นอนในบ้านแล้วกัน”
(บ้านคนละส่วนกับเกสเฮ้าส์)

กรี๊ดดดดดด!!! /^_^/ \^o^\


มาสะ (ชื่อเจ้าของGuesthouse Pumping Surf) ปูฟูกให้เรานอนในห้องเล็กๆห้องนึงในบ้าน เหมือนห้องเก็บของ
เป็นบ้านไม้ที่น่ารักมาก รู้สึกเป็นบ้านอบอุ่น พ่อแม่ลูก2คน และหมา2 ตัว
เรา เซบาส กับมาสะนั่งคุยกันซักพัก แล้วก็แยกย้ายเข้านอน
มาสะบอกว่า “อุส่าหาที่พักเจอตอนกลางคืน ไม่ใช่ง่ายๆเลย เข้าใจ
เดินทางแบบนี้ตื่นเต้นดี เมื่อก่อนตอนเค้า Backpack ก็ทำแบบนี้แหละ “

วันนี้อารมณ์ขึ้นๆลงๆมาก ทั้งเศร้าสุดและดีใจสุดในวันเดียวกัน
ต้องขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ หลายๆครั้ง
และจะจำไว้เป็นบทเรียน
แพลนอะไรไว้บ้างก็ดี จะได้ไม่รบกวนคนอื่น

(แต่ถ้าแพลนก็จะไม่ได้เจออะไรแบบนี้นะ)


Surfing day

ที่เราเลือกจะมาพักที่นี่ให้ได้ เพราะเป็นเกสเฮ้าส์ของชาวเซิร์ฟเฟอร์
ไม่ติดทะเลนะ ต้องเดินข้ามป่าไปประมาณ 5 นาทีถึงจะเจอทะเล
แต่วันนี้ มาสะจะพาลูกเค้าไปเล่นทะเลด้วยพอดี
ก็เลยได้ติดรถตู้ไปด้วยกัน
เราเช่าเซิร์ฟบอร์ดแบบเต็มวัน และ WET SUIT(ชุดว่ายน้ำอย่างหนา) จาก pumping เลย
(5000Y)

120_kyushu

ฮ่าาาาา 

ได้เวลาลงทะเลแล้ว
คลื่นที่นี่แรงมากกกกก
ก็แน่หละ คลื่นสำหรับเซิร์ฟเลย
ส่วนน้ำก็เย็นเหลือเกินนนนน
มนุษย์จากเมืองร้อนอย่างเรา เจอน้ำถึงแค่เข่าก็ยืนไข่สั่นแล้ว
มือแข็งขาแข็ง ขึ้นบอร์ดไม่ไหว
คิดถูกแล้วที่เช่า WET SUIT มา ไม่งั้นช็อคน้ำตายก่อน
(เราไม่ใช่นักเซิร์ฟ แต่เราแค่ชอบเล่นเฉยๆ
นี่เป็นการลงเล่นครั้งที่ 3 เอง)

มีคนเกือบ 100 คนมั้ง ในหาดนี้ ส่วนใหญ่เค้าก็มาเซิร์ฟกันนี่แหละ
ไม่มี BIKINI ไม่มี SIX PACK ให้ส่อง
ทุกคนเป็น wetsuit แต่ความเซกซี่ของคนมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก
แค่เห็นคนญี่ปุ่นผิวแทนถือบอร์ดก็เท่แล้ว

แอร๊ย >.<

 

 

เราจมน้ำกับบอร์ดครั้งแรก

ครั้งที่ 2

ครั้งที่ 3

คือจมเรื่อยๆ 

คลื่นม้วนลงไปใต้น้ำ กลั้นหายใจไม่ทัน แต่ดีที่มีบอร์ดให้เกาะอยู่
และโชคดีที่บอร์ดก็ไม่กระแทกเบ้าหน้า
คลื่นที่นี่เป็นไม่ใช่คลื่นแบบที่เคยเจอ
จังหวะแต่ครั้งมาไม่เท่ากัน แถมยังมาคนละมุมกันอีก กะไม่ได้เลยยยย


จม จม จม จนเรื่มกลัวตาย…


เริ่มไม่สนุกแล้ว
เหมือนเล่นอยู่คนเดียวเลย
อิเซบาสโปรจากการฝึกที่บาหลีแล้ว นางทิ้งเราไปเล่นกลางทะเล
ทั้งที่ครั้งที่แล้ว เราเป็นคนสอนมันเองกับมือ(ที่ภูเก็ต)
ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมาใครจะมาช่วยวะ
ใครจะเอาศพเรากลับบ้าน!

#โมโห1

127_kyushu

 

พอถึงเวลาพักขึ้นจากน้ำ ไปหาไรกิน
เราพอแล้ว เซิร์ฟไม่ไหวแล้ว สู้กับคลื่นเหนื่อยมากวันนี้
เลยชวนเซบาสไปเที่ยวน้ำตก Takashino กัน

ME : ไปน้ำตกกันปะ

SEB : ยูไปเลย ไอยังอยากเซิร์ฟอยู่

ME : (ทำหน้าเศร้า แบบอ้อนวอนๆ)
         แต่ว่าที่น้ำตกมันต้องพายเรืออะ เราพายคนเดียวไม่ได้ ใกล้ๆเอง นะๆ

SEB : … รู้มั้ย ถ้าไอกลับแคนาดาแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เซิร์ฟอีกเมื่อไหร่
          มันไม่มีทะเล ไม่มีความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เซิร์ฟ
เข้าใจความรู้สึกของไอมั้ย …

อ่าวว ดราม่าใส่กุอี๊กกกกกก
นี่กุต้องอยู่ที่นี่ทั้งวันเลยใช่มั้ย!!!
เออๆ ไม่ไปก็ไม่ไป
เซงงงงงงงงงงงงง

#โมโห2

 

เราเลยเปลี่ยนชุด เดินเล่นถ่ายรูปริมทะเล ไปเรื่อยเปื่อย
รอจนเซบาสขึ้นจากทะเล และเตรียมตัวกลับ
ครั้งนี้เราต้องเดินกลับเกสเฮ้าส์เอง เพราะมาสะกลับไปแล้ว

แล้วก็ต้องโมโหมันอีกครั้ง ขณะเก็บของงเตรียมจะกลับ
เพราะมันไม่ช่วยถืออะไรเลย

เรามีกระเป๋าเป้ 1 ใบ ใส่ทุกอย่างที่สำคัญพาสปอร์ตและเงิน ของเราและเซ
กล้อง เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนกลับ ของเราและเซ
มือนึงถือเซิร์ฟบอร์ดหนักมาก
มือนึงถือรองเท้าแตะ
อีกมือถือ WET SUIT ที่เปียก (มีกี่มือแล้ววะเนี่ย)
ที่คอพาดผ้าเช็ดตัวเปียกๆ
ไหนจะต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปอีก


การทะเลาะกันจึงเริ่มขึ้น


ME : ช่วยถือหน่อยดิ

SEB : มือไม่ว่างแล้ว เห็นมั้ย (ขวาถือบอร์ด ซ้ายถือรองเท้าแตะ)


เรายื่นผ้าเช็ดตัวให้มันช่วยถือ
แล้วมันก็เอาผ้าเช็ดตัวเปียกๆ ยัดเข้าเป๋าเป้เรา แล้วเดินต่อไป


ME : ของข้างในมันเปียกกกก เอาออกไปถือเดี๋ยวนี้!!!


SEB : ก็ของยูไม่ใช่หรอ เป็น Princess หรือไง ทำไมถือเองไม่ได้


(คือจะด่าว่า แม่งไม่แมนเลย แต่ไม่รู้มันพูดว่าไง
อยากด่าแรงกว่านี้ อยากด่าเป็นภาษาไทย ฟักยู!!!)


ME : You not a man!!!


พร้อมเขวี้ยงผ้าเช็ดตัวลงพื้น

#โมโห3

โมโหขั้นสุด
แม่งไม่แมน
สุภาพบุรุษอยู่ที่ไหน
ยังเป็นผู้ชายอยู๋รึปล่าว
ของก็ของๆมึงที่อยู่ในกระเป๋าอะ
อะไรๆก็เอามายัดไว้ในกระเป๋าเรา
รู้มัยว่ามันหนัก
ผ้าเช็ดตัวก็ใช้ด้วยกันทำไมวะ
ขอให้ช่วยแค่นี้ก็ไม่ได้
ตอนเซิร์ฟก็หาย ไม่ดูแล
ชวนไปน้ำตกก็ไม่ไป

เซง

(บ่น และเดินไปเก็บผ้าเช็ดตัวที่พื้น)

131_kyushu

 

เราต่างคนต่างเดินกลับเกสเฮ้าส์
เพื่อไปอาบน้ำ กินข้าว และเตรียมขึ้นรถไฟไปจังหวัด OITA
ไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างทาง

….

จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จ และพบว่า
เออ….ที่โมโหเพราะเป็นเมนวันแรกนี่เอง – -“
เราจะอารมณ์แปรปรวนทุกครั้ง และดราม่าหนักเป็นพิเศษในช่วงวันนั้นของเดือน 5555
พอย้อนกลับไป เริ่มคิดได้ว่า
เหตุผลที่โมโหมันงี่เง่ามาก


ทำไมเราถึงเป็นมนุษย์เรียกร้องความสนใจ
และทำตัวอ่อนแอได้ขนาดนี้


ตอนนี้กลับมาคุยกันแล้ว

(มันไม่ง้อ เลยต้องง้อตัวเอง)
เพราะเราต้องโบกรถ
จะไปหาอะไรกินที่เซเว่นก่อน
แล้วค่อยโบกต่อไปสถานีรถไฟ

โบกแรก

โชคดีที่คนขับรถจำเราได้ เพราะไปเล่นเซิร์ฟที่หาดมาเหมือนกัน
เค้ากำลังจะไป OITA ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปของเราพอดี
แต่เกรงใจ เราหิว เลยขอลงแค่เซเว่นก็พอ
แล้วเค้าก็ให้นามบัตรไว้ เป็นเจ้าของเกสเฮ้าส์ริมทะเลที่นั้น
ถ้าไปถึงแล้วให้โทรหาเค้าได้เลย :)

132_kyushu

หลังจากกินอิ่มที่เซเว่น

เราต้องโบกรถเพื่อไปสถานีต่อ โบกนานเลย ไม่มีใครไปซักที
จนมีแม่ชีใจดีขับรถผ่านมา อาสาจะไปส่งเราสองคน
เราคุยกันปกติด้วย japan dictionary ในโทรศัพท์ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
ขอแค่ให้บรรยากาศในรถไม่อึนก็พอ
แต่จู่ๆ แม่ชีก็หยุดรถ แล้วเหมือนพูดอะไรซักอย่าง
เราฟังไม่รู้เรื่อง หมายความว่าให้ลงรึปล่าวคะ
เกรงใจก็เกรงใจนะ
อยากจะบอกวาให้ไปจอดที่ใกล้สถานีอีกนิดได้มั้ย ยังไม่ครึ่งเลย
แต่ก็กลัวจะเป็นการสั่งเกินไป

เออๆลงก็ลง


เราถูกทิ้งไว้กลางทาง!!

133_kyushu

ลงมาแบบเอ๋อๆ งงๆ 

วิ่งไปโบกรถไป 

เราต้องวิ่งเท่านั้น อีก 5 นาทีรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวัน จะมาเทียบชานชาลา
ต้องวิ่ง!
ไม่เคยเหนื่อยอะไรขนาดนี้ เหนื่อยกว่าทุกสิ่ง เหนื่อยกว่าเซิร์ฟ วิ่งๆๆๆๆๆๆๆ
เซบาสหยิบกระเป๋าเราไปช่วยแบก พร้อมกับวิ่งไป

รถไฟมาแล้ว

วิ่งดิๆ

เห็นแล้ว 

วิ่งๆ

กำลังวิ่งตามเลย

วิ่งต่อไป

ถึงสถานีแล้วว

วิ่งขึ้นบันได

แต่แล้วก็….
เห็นประตูรถไฟปิด
และวิ่งออกไปต่อหน้าต่อตา

134_kyushu

ตกรถไฟครั้งแรก 

ร้องให้ T_T
ทรุดลงไปกองกับพื้นเลยจริงๆ เหนื่อยมาก หอบมาก
ทุกความคิดผุดเข้ามา ทำไมนะทำไม

เซบาสเตียนโทษเราที่เราวิ่งช้า ขาสั้น
เราโทษมันที่มันแตะตัวแม่ชีทำให้ได้ลงจากรถ(ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลนี้รึป่าว)
เซบาสโทษเราที่มัวแต่เล่นเนตในเกสเฮ้าส์ เสียเวลา
เราโทษมันที่มันมัวแต่เล่นเซิร์ฟ ไม่ไปไหนซักที


ทะเลาะกันอีกแล้ว!!!

เราโทษกันไปกันมา แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
จริงๆคือแม่งผิดทั้งคู่แหละ ที่ไม่เผื่อเวลา

ต้องติดอยู่ที่นี่อีกวัน
แพลนล่มทั้งหมด ที่เที่ยววันต่อไปถูกแคนเซิล JR pass หมดอายุวันสุดท้าย
น้ำตกล่ม โออิตะล่ม ยูฟูอินล่ม ออนเซนล่ม เบปปุล่ม


บายจ้า
ทริป 8 วันรอบเกาะคิวชู

เดินไปเซเว่น ซื้อเบียร์มาย้อมใจ
ไหนๆก็ตกรถไฟแล้ว ช่างมันเถอะ แก้ไขอะไรไม่ได้
พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของทริป
หวังว่าจะมีอะไรดีๆ

135_kyushu

บทสนทนาหลังจากตกรถไฟ
ณ เซเว่นริมทะเล

SEB : เคยตดตอนอยู่ด้วยกันบ้างป่าว

ME : อือ…เคยนะ

SEB : เห้ย!! ตอนไหนไม่เห็นรู้เลย

ME : ก็ตดฉันหอมไง

SEB : รู้มั้ย ยูอยากตดตอนไหนก็ตดเลยนะ เพื่อนกัน ไม่ต้องแอ๊บสวย


ซักพักกลิ่นก็ลอยมา
อีเซบาสสสสสสสสสสตดดด
เหม็นเฟ้ยยย
ฟ๊ากกกยูววววว!!!!!!


เราเป็นพวกโกรธยาก หายง่ายค่ะ
ได้หัวเเราะนิดเดียว ก็หายหงุดหงิดแล้ว


วันนี้วันสุดท้ายของการเดินทาง

ต้องตื่นเช้าหน่อยเพราะต้องนั่งรถไฟกลับไปฟูกุโอกะ
ใช้เวลาประมาณ 4 ชม จ่ายราคาเต็ม T_T
(เกือบเท่ากับซื้อ JR north kyushu อันไหม่เลยจ้าา)
เป็นการนั่งรถไฟที่ยาวนาน
แต่วิวข้างทางก็สวยสุดๆเลย
เรารู้สึกว่า เกาะคิวชู เป็นที่เที่ยวสำหรับคนรักธรรมชาติจริงๆนะ
เพราะระหว่างทางรถไฟนี่ป่าล้วนๆเลย  สดชื่นนน

รถไฟผ่านโออิตะ เบปปุ ที่ๆเราควรจะมาอยู่ที่นี่เมื่อวานนี้
วันนี้กลับกลายเป็นแค่ทางผ่านซะแล้ว

T___T

 

ME : เซบาสเตียน ยูชอบวันไหนที่สุดในทริปนี้?

SEB : วันเล่นเซิร์ฟ ยูหละ?

ME : วันนั่งรถไฟไปทะเล


วันรถไฟคือวันที่มันหงุดหงิดที่สุด
วันเซิร์ฟคือวันที่เราหงุดหงิดที่สุด

แปลกดี ต่างคนต่างความต้องการ
ชอบทะเลเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน 555 งงมะ

ไม่รู้หละ
ถึงเจอเรื่องหงุดหงิด
แต่ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้ เราก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรอยู่ดี
แบบนี้ดีแล้ว เซงบ้าง หงุดหงิดบ้าง ไม่เป็นไร


 เรานัดเพื่อนญี่ปุ่น  ที่เคยเจอตอนไปเที่ยวปีนังปีที่แล้วไว้

(เคยเขียนไว้ในกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/32703037 )
ครั้งนั้นเราชวนฮีไปดูคอนเสิร์ตแททูคัลเลอร์ที่กรุงเทพต่อหลังจากกลับจากปีนังด้วย
ครั้งนี้ฮีก็เลยจะพาเที่ยว
แต่….
ฮีไม่เคยมาฟูกุโอกะเลยยยย (บ้านอยู่โตเกียว)

บ่ายสองโมงเรานัดกับ’ฮิโรมุ’ ที่สถานีฮากาตะ ฟูกุโอกะ
รู้สึกเลยว่า ชีวิตดีขึ้นมาก เมื่อมีคนญี่ปุ่นไปด้วยกัน
เข้าร้านอาหารอย่างสบายใจ
ขึ้นรถบัสอย่างสบายใจ ถามทุกคนที่เดินผ่าน
รู้สึกว่า อยากไปไหนก็ได้ หลงทางก็ไม่กลัวอีกต่อไป
เพราะฉันมี ฮิโรมุ มายฮีโร่
555

เราเดิน walk in เข้าที่พัก เก็บกระเป๋า
แล้วออกไปท่องเมืองฟูกุโอกะอีกครั้ง ด้วยรถเมล์
คราวนี้ไปทะเล (ทะเลอีกแล้วววว เซบาสรีเควสค่ะ)

Momochi beach
เป็นหาดยาวฝั่งตะวันตกของเกาะคิวชู
สำหรับนั่งเล่น พักผ่อนริมทะเล มีบาร์และร้านอาหารพอเป็นพิธี
แต่กลับลงเล่นน้ำไม่ได้ เพราะอะไรซักอย่าง (ลืม)
มีคู่รักมานอนริมหาดจีบกัน กอดกัน จนน่าอิจฉา >.<

ถ้ายืนอยู่บนหาดทราย แล้วมองข้ามทะเลไป
จะเจอเมืองปูซานประเกาหลี (ถ้าสายตายาวมาก)
สามารถนั่งเรือข้ามมาฟูกุได้
และจากฟุกุโอกะก็สามารถนั่งเรือข้ามไปเกาหลีได้เช่นกัน
ถ้าได้นั่งเรือข้ามประเทศคงจะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นดีเนอะ

แล้วต่อด้วยขึ้น FUKUOKA TOWER เพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน

ค่าขึ้นตึกราคา 800Y แต่เจ้าหน้าที่ขอดูพาสปอร์ตเรากับเซ แล้วลดให้เหลือ 500Y
งง เลย ฮิโรจ่ายราคาเต็มคนเดียวค่าา
ตอนนี้ยังไม่เข้าใจตรรกะนี้ เพราะที่ไทย จะราคา X10 สำหรับนักท่องเที่ยว
เขาไม่ต้องการเงินจริงๆ หรือมีแผนซ้อนแผน

เอ…คิดมากทำไมเนี่ยยย

มื้อสุดท้าย
เราอยากกินเนื้อย่างยากินิกุกันอีกครั้ง
เลยให้ฮิโร พาไป ร้านไรก็ได้แบบโลคอลๆอะ
จริงๆ ฮีก็ไม่เคยมานะ แต่ฮีมีเนตคนเดียวไง
การหาร้านมันก็เลยกลายเป็นเรื่องง่ายไปเลย

“ทำไมเราไม่ซื้อเนตแต่แรกวะ ว่ามั้ย”

เราชอบร้านนี้นะ รู้สึก LOCAL
เป็นบุฟเฟ่เนื้อย่าง ผู้หญิง 1500Y ชาย 1900Y
ตั้งราคาแยกชายหญิงอย่างนี้
หารู้ไม่ว่าเรากินไม่ต่างผู้ชายเลยจ้าาาา อิอิ

อย่างที่บอกว่า เข้าร้านไหนเป็นต้องได้เพื่อนไหม่ตลอด
ยกเครดิตให้ ไรอัลกอสลิ่งตัวปลอม หรือเซบาสเตียนจ้าา
อยู่ดีๆนางก็มีแฟนคลับสาวญี่ปุ่นมาขอถ่ายรูปในร้านเนื้อย่าง
แล้วเราก็ไปต่อกันกับนางยาวเลยยย
ทำไมมันรู้จักกันง่ายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเราเพิ่งเจอกันที่ร้านเนื้อย่าง
เข้าบาร์ คาราโอเกะ วนเวียนๆยัน ตี 5 อะค่ะ
จำได้ลางๆว่าพรุ่งนี้ต้องไปสนามบิน10โมง บินเที่ยง
รีบไปเช็คอินโน้น เพราะไม่มีเนต

ตื่นทันนะขอให้ตื่นทัน

155_kyushu

 

พอนั่งมองรูปข้างบนแล้วก็นึกสงสัย
เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
จากตอนแรกว่าจะไปญี่ปุ่นคนเดียว แต่กลับไม่ได้ไปคนเดียว
คนนึงเพิ่งเจอกันที่ภูเก็ตเดือนที่แล้ว
อีกคนเจอกันที่ปีนังปีที่แล้ว
และอีกสองคนเพิ่งเจอมะกี้
ทั้งหมดเรารู้จักกันแค่วันเดียว
แต่ทำไมเหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน
รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดี
ที่ได้เจอแต่เพื่อนดีๆ
ไม่อยากให้หมดคืนนี้ไปเลย
ไม่อยากคิดว่าหลังจากนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีก


…..


ME : จบทริปญี่ปุ่นนี้ ยูไปไหนต่ออะ

SEB : ว่าจะเวียดนาม แล้วก็แคมโบเดีย

ME : ยูคิดว่าเราจะได้เจอกันอีกมั้ย 

SEB : …ไม่รู้สิ อาจจะ….

ME : เออ ไม่ต้องกลับมาก็ได้ ไอจะได้คิดถึงยู  

ดราม่ารอบดึก
ก่อนแยกย้ายกลับไปนอนที่เตียงตัวเอง

วันสุดท้ายของฉัน…..

 


 

ฟ๊ากกกกกกกกกก!!!!

 

ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!

ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!ตกเครื่อง!!!!

 

เวลา 9 โมงเช้าตื่นมาล้างหน้าแปลงฟัน เก็บของ
แล้วออกไปเรียกแท็กซี่ไปสนามบิน กะให้ทัน 10 โมง
ทันนะก่อนเวลาด้วย 5 นาที

แต่
ดันจำเวลาผิด!!!!

คิดว่า boarding time 10 โมง จริงๆมันคือ Departure time 10 โมงจ้าาาา
เครื่องปิดประตูเตรียมบินแล้ว ไม่ทันแล้วจริงๆ
T_T


รู้สึกผิดสุดๆ ขอโทษจริงๆ
เพราะความไม่รอบคอบของเราเอง
เราบอกขอโทษเซบาส แต่ไร้สัญญาณตอบรับใดๆทั้งสิ้น…..

ความเงียบสงัดระหว่างเราสองคนเกิดขึ้นอีกครั้ง

กลับไปที่โฮสเทลเดิม ก็เต็มอีก
ต้องเดินหาที่ไหม่ FIRST CABIN
เป็นแคปซูลโฮเทล แยกโซนชาย-หญิง
ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา


โอเค งั้นเราแยกทางกัน….

156_kyushu

เราก็คิดนะว่าเราไม่ผิด
แล้วทำไมต้องไปขอโทษมันด้วยวะ
ตั๋วก็ตั๋วมัน ทำไมไม่ดูเอง

 

เราจองตั๋วกลับรอบวันถัดไปพรุ่งนี้ เวลาเดิม
โชคดีที่ไม่ใช่วันหยุด เลยได้ตั๋วราคาไม่แพงมาก
ตั๋วโปรโมชั่นของฉัน ที่ฉันอุส่าช่วงชิงมันมาาาา T_T

เวลาเหลืออีก 1 วัน ที่ได้มาแบบไม่ได้ตั้งใจ


เราออกไปเดินเล่นข้างนอกคนเดียว
กินข้าวคนเดียว
ชอปปิ้งคนเดียว
ทำอะไรคนเดียว

แม่ง อยู่ดีๆก็เหงาขึ้นมาซะงั้น

อารมณ์ล้วนๆเลยหละ 2-3 วันที่ผ่านมาเนี้ย
รู้สึกแย่ยังไงไม่รู้ ทั้งตกรถไฟ ทั้งตกเครื่องบิน
หงุดหงิดเป็นประจำเดือน หรือหงุดหงิดเพราะเรื่องที่มันเกิดขึ้นก็ไม่แน่ใจ

เดินเข้าร้านอุด้ง ก็เอ๋อ เชี่ยละ สั่งไง ไม่มีคนมาพาเหวอด้วย
มีหลายความคิด หลายความทรงจำวิ่งเข้ามาเลย

เศร้าว่ะ


นี่วันสุดท้ายจริงๆ แต่เรากลับอยากให้มันหมดวันนี้ไปเร็วๆมากกว่า
ความรู้สึกต่างจากเมื่อวานราวฟ้ากับเหว

157_kyushu


เราเดินเล่นจนฟ้าเริ่มมืด เริ่มเมื่อย ชอปปิ้งเงินหมด
เลยไปนั่งพักตรง Family mart ที่กินเบียร์ประจำ (มี FREE WIFI)


ก็มีแมสเสดดังขึ้นมา

SEB : “I’m come back after eating Mcdonald i’m happy lol”

          “ Where are you?”


ดีใจน้ำตาแทบไหล
อิเซบาส อิบ้า อิโมโหหิวแล้วพาล

ฟายยย


เราแค่ไม่ชอบทำให้ใครโกรธ
มันรู้สึกไม่ดีจริงๆนะ
อย่าเล่นแบบนี้อีก

เราต่างขอโทษกัน
เราขอโทษที่ลืมเวลา ทำให้ต้องตกเครื่อง
เซบาสขอโทษที่ไม่ได้เช็คก่อนเหมือนกัน
ผิดทั้งคู่แหละ
ทั้งตกรถไฟ ทั้งตกเครื่องบิน
มีแต่คนถามว่าทำไมตก
แต่ดูจะเป็นความผิดที่โง่มาก 555

เอามาเล่ากี่ครั้งก็ทะเลาะกัน แล้วก็จบด้วยหัวเราะฮาๆ

 

เพราะมิตรภาพมันไม่ทำให้เราโกรธกันนานหรอก


THE REAL GOOD BYE

การเดินทางอะมันสนุก ได้ไปที่ไหม่ๆ ได้เจอคนไหม่ๆ
แต่รู้มั้ย สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดของการเดินทางเลย
คือ ‘การบอกลา’
ถึงแม้จะมีเฟสบุค ช่วยทำให้ระยะทางใกล้ขึ้นมาได้บ้าง
แต่มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี

ทริปนี้อาจไม่ได้ perfect ตามแผนที่วางไว้
บางทีไม่ได้ไป บางที่ไม่ได้เห็น ไม่เป็นไร
แต่สิ่งที่เราจดจำมากที่สุดมันกลับไม่ใช่สถานที่เลย
เพื่อนร่วมทาง มิตรภาพที่เราเจอ และปัญหาที่เข้ามา
ทำให้ความทรงจำมีความหมายขึ้น


บ๊ายบายนะ คิวชู :)

158_kyushu

 

ปล.

– หลังจากกลับกทม เซบาส ‘ตกเครื่อง’ ไฟลท์เวียดนาม – -“

– ก็เลยอยู่ไทยต่อ อีก 1 เดือน 5555 ติดใจประเทศไทยอะดิ๊

– แต่ตอนนี้กลับแคนาดาไปแล้ว ไม่รู้จะได้มาอีกเมื่อไหร่ แต่จะมาแน่ๆ

– เซบาสฝากบอกมาว่า รับสมัครแฟนคลับนะ “ผมโสดโปรดจีบ”

:P

ขอบคุณค่ะ :)

 

สรุปค่าใช้จ่าย

budget-kyushu-01

 

 


Hello

TEST 1

FOLLOW ME

More Stories
เที่ยวทะเล ดำน้ำตามหาน้องฉลามวาฬที่ “ชุมพร” | TAKE A DIP IN CHUMPHON